ลมหายใจของวัยทอง

จริตสราญ
แม่เล่าว่า.....

แม่เป็นสาวเหนือจังหวัดลำปาง โดยกำเนิดจ้าววว....

เดินทางตามลูกๆ มาอเมริกา ตั้งแต่อายุ 47 ปี

ปีนี้..แม่ขึ้นสู่วัย 97 ปีเต็ม..ใช่ค่ะ แม่เป็นไทย/อเมริกันซิติเซ่นมา 50 ปี

นอกจากเป็นแม่และคุณยายแล้ว..ยังเป็นอาวุโสป๊อบปูล่าและน่ารัก.

ใครได้มารู้จักใกล้ชิดแล้ว จะรู้สึกผูกพัน...กับรอยยิ้มอบอุ่นของแม่.. แม่มีเมตตา..อุเบกขา...และให้ความสนใจห่วงใย ในเรื่องเล็กๆ ของผู้คนรอบข้าง แม่จำได้ดีว่า เพื่อนๆ ของลูก..คนไหนชอบขนมอะไร กับข้าวชนิดไหน เมื่อใดที่มีการพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูงของลูก..หรือมีใครมาเยี่ยมเยียน. แม่จะเตรียมอาหาร & ขนมที่ทุกคนโปรดปราน ไว้ต้อนรับ. นอกจากฝีมือเมนูอาหารพื้นบ้าน และขนมไทยๆ แล้ว.... งานฝีมือเย็บปักถักร้อยของแม่...ก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญ ไม่ธรรมดาเลย.

แน่นอน..ฉันภูมิใจเป็นที่สุด..ที่เกิดมาเป็นลูกแม่ !

วัยนี้ของแม่ แม้ความจำจะเลือนจางเรื่องเมื่อวาน หรือเหตุการณ์ปัจจุบันไม่แม่นยำ. แต่เรื่องราวในอดีต...ความจำของแม่ยังเป็นเลิศ อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นต้นว่า......

แม่เล่าว่า....

ตอนวัย 10 ขวบ พ่อวานให้ไปซื้อขนมวุ้นกะทิ ที่หน้าโรงหนังใกล้บ้าน ในสมัยก่อน จะมีวงดนตรีมาตั้งวงเล่นบนเวที...ก่อนเปิดโรงฉายหนัง แม่ซื้อขนมให้พ่อเสร็จ ไม่ได้รีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที มัวเพลิดเพลิน กับแสงสีเสียงนานไปหน่อย...กลับถึงบ้านปรากฎว่า พ่อวัย 60 คอยกิน ขนมจนหลับ...หลับชนิดไม่ตื่นขึ้นมาอีก วุ้นกะทิต้องเป็นม่ายเพราะพ่อ หยุดหายใจไปเสียก่อน ซึ่งเป็นตราบาปที่ผลึกในใจแม่มาถึงทุกวันนี้. (ฉะนั้น...มีโอกาสให้พ่อแม่อิ่มหนำสำราญ จงรีบทำเสียนะคะ)

แม่เล่าว่า....

พอพ่อ/แม่จากไป แม่ต้องมาอยู่กับลุง/ป้า ถึงจะใจดีแต่ป้าเข้มงวด มากกับงานบ้านงานเรือน ต้องหมดจดทุกจุดของครัวเรือน.... ถ้าเอานิ้วปาดตรงไหน..มีฝุ่นติดขึ้นมา ป้าจะเอาฝุ่นมาแต้มหน้าแม่แล้ว ให้เช็ดถูใหม่...อ่างน้ำล้างเท้าก่อนขึ้นกระไดบ้านก็เหมือนกัน น้ำต้องใส มองเห็นเงาหน้าตัวเองได้ หากยังขุ่นอยู่ก็ต้องล้างอ่าง แล้วไปตักน้ำใสๆ มาใส่ใหม่ ! (มิน่าล่ะ แม่ถึงชอบกวาดบ้านถูบ้าน จนวัยนี้)

แม่เล่าว่า....

ตอนวัย 19 ปี...นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ กับเพื่อนสาว เป็นช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 2 สลายตัว รถไฟทั้งขบวนเนืองแน่นไปด้วยทหารญี่ปุ่นที่ เตรียมตัวกลับประเทศ....แม่กับเพื่อนดวงดีมีทหารญี่ปุ่นใจดี ลุกให้นั่ง สบายๆ ไปตลอดทาง. (ญี่ปุ่นมารยาทดีที่ไม่จับนั่งตักนะค่ะ)

แม่เล่าว่า....

นั่งรถสามล้ออุ้มทองฉันไปคลอดกับญาติ ที่ รพ. วชิระ สามเสนนอก ตอนโพล้เพล้วันเสาร์..แต่มาคลอดเอาเช้าวันอาทิตย์...และโชคดีมี เพื่อนเป็นพยาบาลประจำที่นั่น ได้รับการดูแลอย่างดี สมัยนั้นค่า รพ. รวมอาหารหวาน-คาว 3 มื้อ ตกวันละ 2 บาทเท่านั้น...แม่เลยอยู่ เสีย 7 วันเลย...ยังจำได้อีกว่า ขนมหวานชุดแรกหลังคลอดคือ “ลอดช่อง” น้ำกะทิ” (ก็น่าจะตั้งชื่อ “น้ำกะทิ” ให้ฉันนะ.อิ.อิ.)

แม่เล่าว่า...

ทุกวันนี้ดีใจกับบุญที่ได้ใช้ชีวิตใน 3 แผ่นดินของรัชกาลที่ 8, 9, 10 ยังจำได้เสมอว่า...งานพิธีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 นั้น ฉุกละหุกมาก ไม่มีเสื้อผ้าชุดดำใส่ แม่แก้ปัญหาซื้อผ้าปูที่นอนขาวมาย้อมดำ...นำมาตัดชุด ไว้ทุกข์ใส่ไปอาลัยส่งรัชกาลที่ 8 ขึ้นสวรรค์ในวัดพระแก้ว...และไม่ได้ลังเล เลยที่จะข้ามฟ้า..ข้ามทะเลกลับไปงานถวายพระเพลิงพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นสู่สวรรคาลัย...ด้วยน้ำตานองหน้า ! (และคนไทยทุกคน..เศร้าสุดๆ)

แม่เล่าว่า....

ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับจากไปเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เกิดไอเดีย เก๋ไก๋ ออกกฎให้คนไทยยุคนั้นเลิกกินหมากพลู..ดูสกปรกเลอะเปื้อน สวนหมาก/พลูจึงถูกตัดโค่นเกือบหมดสิ้น เป็นที่เดือนร้อนแก่ผู้เฒ่าทั้งหลาย แต่...หันมาสนับสนุนให้หญิงชายแต่งตัวสากล ใส่หมวกสวยงามอย่างฝรั่ง แม่พลอยได้แต่งสวยแบบสากลตามไปด้วย.... (เลยติดนิสัยสวยเสมอ..มาจนทุกวันนี้.)

แม่เล่าว่า....

ยุคการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น...เผด็จการเด็ดขาดที่สุด. สำหรับการลงโทษผู้กระทำผิดร้ายแรง...ให้ผู้คนเดือดร้อนเสียหาย ในทุกสถานการณ์...ยิงเป้าประหารชีวิตกลางสนามหลวง ไม่มีข้อแม้ใดๆ ต่างกันสุดขั้วกับยุคนี้เสียจริงๆ..(คนชั่วทำผิดร้ายแรงระดับไหน ก็ยังใช้ ชีวิตกันสบ้าย...สบาย..โครตทุเรศ !)

แม่เล่าว่า....

เหตุที่แม่ช่วยสามีทำธุรกิจค้าขายอาวุธปืนนี่เอง ทำให้แม่สนใจในกีฬา ยิงปืน....เพราะมีครูดีอยู่ใกล้ตัว แม่ได้รับรางวัลชนะเลิศแข่งขันยิงปืน ครั้งแรกจากกรมรักษาดินแดน ตอนอายุเพียง 25 ปี...หลังจากนั้น ก็ได้รับถ้วยรางวัลอีกหลายใบ...จากการแข่งขันกองประกวดกลายสถาบัน ที่แม่ปลื้มที่สุดคือ...เหรียญทองของกรมตำรวจ ที่ขณะนั้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ มอบให้กับมือ !...

แม่เล่าว่า....

ตอนมีหน้าที่ขับรถจิ๊ปปุเลงๆ รับส่งลูกไปโรงเรียน ครั้งหนึ่งถูกตำรวจจราจร หนุ่มถีบจักรยานไล่กวดตามมาให้รถหยุด...บอกว่าแม่ขับผิดกฎฝ่าเข้าเลน วันเวย์พร้อมจะเขียนใบสั่งปรับ...แม่โอดครวญว่า ไม่ทันเห็นป้ายใหม่เปลี่ยน เส้นทาง...ด้วยชินกับเส้นทางเดิม ตอนนั้นก็ใกล้พระอาทิตย์ตกดินรอมร่อ ต้องรีบพาลูกกลับบ้าน...ตำรวจหนุ่มเลยชะงักมือที่กำลังจะเขียนใบสั่ง เปลี่ยน ใจบอกเสียงชัดเจนว่า “งั้นขอเงิน 5 บาท เอาไปกินเหล้าแทนละกัน” (เข้าใจละ...ดีเอ็นเอตำรวจไทยบางคน..มีคอร์รัปชันมานานนม)

แม่เล่าว่า....

พอได้เป็นคุณยายต้องดูหลานชายวัย 4-5 ขวบ มีวันหนึ่งต้องไปฟังสวด งานศพเพื่อนที่วัดไทย...กำชับหลานไม่ให้ซน ยายต้องไปงานศพ.. หลานชายถามว่า...งานศพคืออะไร ? โมเม้นท์นั้นยายคิดไม่ออกจะบอก ยังไงให้เข้าใจง่ายๆ ดี ตอบสั้นๆ ไปว่า...คือพิธีส่งคนตายให้ขึ้นสวรรค์ วัยไร้เดียงสาโพล่งถามยายกลับมาว่า.. “แล้ว...เมื่อไหร่ยายจะตาย ?” เล่นเอายายอึ้งตอบไม่ถูกไปเลย. (ha.ha.ha)

เรื่องเล่าในอดีตของแม่มีมากมาย...คนเป็นลูกยังจำไม่ค่อยแม่นพอจะนำมาเรียบเรียง เอาไว้วันว่างๆ กับอารมณ์ดีมาสามัคคีกัน...จะอ้อนแม่เล่าให้ฟัง เอามาฝากอีกนะคะ...โปรด..รอ..ร้อ..รอไปก่อนเด้อ !