ลมหายใจของวัยทอง

จริตสราญ
สัตว์เลี้ยงแสนรัก

ฤดูร้อนของปีนี้...ดูเหมือนว่าจะร้อนวิปริตกว่าทุกปี...คุณว่าไหม ?

เอ...รึว่าสังขารของเรามันหง่อมลง...เลือดลมลดพลังสู้...

เลยฉุดให้ความรู้สึกอะไรต่อมิอะไร มันแย่ลง...ตามไปด้วย

แต่ถึงยังไง...เราก็รู้จักปรับตัวให้อยู่รอดไปได้...ในทุกสภาพของฤดูกาลอยู่ดีละ

ข้างนอกบ้านมันร้อน...ก็พยายามจัดคิดตัวเองให้อยู่แต่ในบ้านสิเนอะ หากมีความจำเป็นต้องขับรถไปไหน ก็เปิดแอร์เสียให้ฉ่ำ...ถึงน้ำมันราคาขึ้น (อีกแล้ว) ก็ต้องทำใจให้ได้... ดีกว่าทนร้อนให้ความดันพุ่งกระฉูด...เผลอๆ หน้ามืด...ตาเหลือก หัวใจวายตายอยู่ในรถ !

คุณเป็นเหมือนฉันไหมล่ะ...ที่เวลารถติดไฟแดง สายตาฉันมักไพล่ไปพาดพิงเอากับผู้คนที่ยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ข้างถนน...โดยเฉพาะสาวเม็กซิกันเนื้อ...นม...ไข่ที่อุ้มลูกจูงหลานกันเป็นพัลวัน...รู้สึกสงสารจับใจ อยากจะเอื้อเฟื้อรับขึ้นรถอาสาไปส่งซะจริงก็จนใจ ไม่รู้จะสื่อสารกันยังไง...เพราะภาษาสแปนิชไม่กระดิกเอาเลย...แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงพึมพำออกมา...เป็นแม่ภาษาอะไรวะ ร้อนแทบจะเผากล้วยกินได้อยู่แล้ว ยังจะหอบลูก..หิ้วลูกเล็กๆ ออกมาผจญกับความร้อน เดี๋ยวมันก็ไม่สบายหร็อก... จบประโยคพ่นเป็นหมีกินผึ้งของฉัน พระมารดาที่ส่วนใหญ่คือผู้โดยสารประจำของฉันก็จะฉวยโอกาสสรุปให้ว่า...

“ก็มันจำเป็นต้องหอบมาหมดทั้ง 3 คนนั่นแหละ ทิ้งไว้บ้านได้ไง...ไม่มีคนดูแลนะซี....”

ซึ่งความจริงก็คงเป็นอย่างนั้นล่ะ...เหมือนอย่างที่ฉันเห็นจนชินตาเวลาไปโรงพยาบาล ที่ตัวคนป่วยต้องพกพาบริวารมาด้วยเป็นกลุ่มเชียว...ลูก 3, หลาน 2 บางรายมีแม่ยายตามพ่วงไปอีกด้วย...ไปขอพึ่งความเย็นของแอร์คอนดิชั่นที่นั่น นั่งๆ นอนๆ รอสามีเลิกงานแวะมารับกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้แหละ...บางคลีนิคห้อง Waiting Room ในโรงพยาบาลจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แย่งชิงที่นั่งกันราวกับเกมเก้าอี้ดนตรีเชียวละ และที่เป็นคนไข้จริงๆ มีแค่ 40% อีก 60% คือ...ลูกหลานญาติมิตร ที่พ่วงติดมาอาศัยแอร์เย็นๆ...เพื่อหลบเลี่ยงหนีไอร้อนระอุของฤดูนี้...

มนุษย์...ย่อมรู้จักวิธีช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้...ไม่ยาก ต่างกับคุณน้องหมา...ที่เป็นสัตว์แสนรู้...แสนรักของคุณเจ้าของทั้งหลาย ฤดูนี้...จะได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ...

ก็ดูอย่างคุณวันดี...เพื่อนรักเมืองโพโมน่าของฉันสิ เป็นแม่บ้านเต็มร้อยที่มีการมัธยัสถ์เป็นพื้นฐาน สามีต้องเดินทางไปทำงานต่างรัฐเป็นระยะๆ ครั้งละ 2-3 เดือน เธอก็อยู่ดูแลบ้านช่องต้นหมากรากไม้...สวนหย่อมให้อยู่ในสภาพงดงามดี มีน้องหมาเป็นเพื่อนแก้เหงา 2 ตัว ที่ชอบนอนอาบแดดอยู่บนลานพาทิโอหินกาบหลังบ้านอยู่เป็นนิจสิน และเอาเวลาว่างจัดขยันอาบน้ำให้น้องหมา...จะได้คูลล์ดาวน์สบายตัว.... ไม่มีความจำเป็นคุณเธอไม่ออกไปไหนเลย...ปากเดียวท้องเดียว...ใช้ชีวิตอยู่กินอย่างง่ายมาก...ไม่ยอมสิ้นเปลืองใดๆ ทั้งสิ้น...

ใครบ่นให้ได้ยินถึงเรื่องอากาศร้อนยังไง เธอก็ว่า...อ้าว...หน้าร้อนนี่คู้น.น.น มันก็ต้องร้อนทุกปีละค้าๆ ตัวเธอเองไม่สะท้านสะเทือน...ไม่คิดจะเปิดแอร์พ่นใส่...เปิดทำไมให้มันเปลืองโดยใช่เหตุ แค่เปิดหน้าต่างกว้างๆ ให้ลมผ่าน...ใส่เสื้อผ้าให้น้อยชิ้น (ชิ้นเล็กๆ) ไปซะ มันก็ช่วยได้ตั้งมากมายแล้วนี่คู้น.น.. พอมาถึง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี่แหละ อุณหภูมิร้อนระอุพุ่งพรวดขึ้นมา...100 กว่าๆ ...ตับแทบแลบ... ด้วยความแสนรักสุดสงสารสัตว์เลี้ยง 4 ขา กลัวจะน้ำลายยืด...เป็นบ้าไปด้วยฮีทความร้อน คุณวันดีเลยตัวสินใจ...

"มาเร้ว..ว เข้าบ้านเถอะ แคสซี่...ลัคคี้...แม่เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำแล้ว...ไปอยู่ในบ้านกัน”

นี่ละค่ะ...ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีสัตว์เลี้ยงแสนรู้...แสนรัก ตัวเองทนได้ทุกสภาพอากาศ....แต่กลับทนไม่ได้แทนเจ้า 4 ขาที่ผูกพัน

สำหรับฉัน...ได้ผ่านพ้นสภาวะรับผิดชอบในชีวิตเล็กๆ ของสัตว์เลี้ยงไปหมดแล้ว ตั้งแต่สูญเสีย “Madison” นกกระตั้วสาวแสนรู้ไปเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนย่างเข้าฤดูร้อนเหมือนกัน และยังจำได้ถึงวิกฤตการณ์วันนั้นอย่างไม่ลืมเลือน... ขอโอกาสเล่าย้อนหลังเสียเลยนะคะ...

วันนั้น...(May 24' 2010) หลังจากที่เอาคุณแมดดี้เธอออกจากกรงบรรทมในบ้าน มาใส่กรงใหญ่ที่พาทิโอหลังบ้าน...ให้อาหาร...เอาคลิปหนีบประตูกรงเรียบร้อยแล้ว...นึกขึ้นได้ว่าต้องขับรถออกมาตลาดซุปเปอร์ใกล้ๆ บ้างห่างสัก 3 ไมล์ ช่วงนั้นแม่ไปเที่ยวเมืองไทยกับกลุ่มสมาคมปักษ์ใต้ น้องชายไปทำงานแต่เช้ากลับมาตอนเย็นย่ำค่ำ เพราะคิดว่าทิ้งมันอยู่ลำพังไม่นาน...ไม่จำเป็นต้องเอามันขังใส่กรงเล็กในบ้าน ให้มันได้สูดดมสายลมและแสงแดดนอกบ้านบ้าง จะได้มีสุขภาพดี

สาบานได้ว่า...ฉันหายออกไปไม่เกิน 1 ชั่วโมง กลับถึงบ้านจัดการเอาของเข้าที่...ผักผลไม้เข้าตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจรายงานตัว...คุยเล่นกับสัตว์เลี้ยงซะหน่อย... เปิดประตูหลังบ้านตรงดิ่งไปที่กรงของมัน...

อ้าว...เฮ้ย...นกหายไปไหน ?? สาวแมดดี้ไม่ได้อยู่ในกรง !!!!

โมเม้นท์แรกไม่ได้ตื่นตระหนก...นึกว่า...มันเอาปากง้างคลิปที่หนีบประตูกรงออกมาซนอยู่ข้างนอกอีกแล้ว...ก็มันชอบทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ นี่นา ฉันชินกับพฤติกรรมของมันดี...รู้อยู่กับใจว่ามันเป็นกระตั้วที่ไม่ชอบอยู่ในกรง...ชอบนัวเนียอยู่กับคน และชอบเดินโชว์อวดร่าง...สำรวจโน่นนี่รอบๆ บริเวณพื้นที่เนินเขาหลังบ้าน โปรดปรานยืนขาเดียวโดดเด่นเกาะเก้าอี้เหล็กยาวข้างสระน้ำเป็นที่สุด อีกมุมที่เธอโปรดเวลาต้องการโลกส่วนตัวคือแอบไต่ขึ้นไปหลบอยู่ใต้ร่มใบครึ้มของต้นไม้ใหญ่ข้างห้องนอนริมสระ....เงียบกริบเชียว บางครั้งฉันตามหาอยู่เป็นนาน...ไม่เจอ ต้องร้องตะโกนเรียกหาหนักๆ เข้า...มันคงจะรำคาญเสียสมาธิการปฏิบัติธรรมละมั้ง...เลยต้องส่งเสียงร้องตอบ “เฮลโหล เฮลโหล...” ให้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน....

อ้อ...มาหลบเงียบอยู่ใต้ร่มเงาบนกิ่งไม้นี่เอง...โธ่เอ๊ย..ย..ทีหลังก็บอกก่อนซี้...ว่าจะขอปลีกวิเวกวิปัสสนา...จะได้ไม่กวน !

แต่...ในวันนั้น ทุกๆ จุดทั้งโปรดและไม่โปรด...ไม่มีร่างของแมดดี้จริงๆ เชื่อไหมคะว่า...กลางแสงแดดจ้านั้น ฉันลืมไปเลยว่ามีโรคความดันสูง ทั้งข้อขา-เข่า ไม่สมประกอบ วิ่งๆ เดินๆ ร้องเรียกหามันถ้วนทั่วบริเวณบ้าน...ด้านหน้า...ด้านข้าง...ด้านหลัง ซ้ำลืมตัวลงบันไดหมอนรถไฟทั้งหมดกว่า 20 ขั้น มาเดินตามหาสุดเขตรั้ว สำรวจตรวจดูว่า...ถูกหมาป่าลอดรั้วเข้ามาขย้ำ....เหมือนคราวก่อนรึเปล่า...ก็ไม่มีร่องรอยอะไรให้เดาได้เลย...โหย...เหนื่อยซะ

ฉันกลับขึ้นมาข้างบนได้ไง...ไม่รู้เหมือนกันทั้งที่ไม่มีราวเกาะ ร้อนกายเพราะชุ่มเหงื่อ...แต่ร้อนใจนั้นโชกกว่าหลายเท่าตัว พลังผูกพันกับสัตว์เลี้ยง มีมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก !

เมื่อหาจนถ้วนทั่วบริเวณบ้านแล้วไม่พบซาก ฉันรีบแจ้นไปถามเพื่อนที่ขนาบข้างทั้ง 2 บ้าน...ถามหา...ขอให้ช่วยจับตาดูเจ้ากระตั้วตัวแสบ แล้วก็ข้ามฟากไปตามหาที่เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วแมดดี้ไม่ชำนาญกับการข้ามไปซนบ้านคนอื่น ไม่เคยไปไหนได้ไกลด้วยตัวเอง กระตั้วสาวตัวนี้ถูกขลิบปีกเป็นนกเลี้ยง...บินสูงไม่ได้ อย่างเก่งก็แค่บินขึ้นถลาลงได้สูงไม่เกิน 1 เมตร...มันจะไปได้ไกลขนาดไหนเชียว... แต่ถึงกระนั้น...ฉันก็กระจายแจกจ่ายความวิตกกังวลให้เพื่อนบ้าน ได้อย่างทั่วถึงทีเดียวหละ... Mary Ann เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามบอกว่า เห็นเหยี่ยวตัวใหญ่...บินร่อนไปมาอยู่กลางท้องฟ้าหลังบ้านฉันอยู่พักใหญ่ๆ

นั่นละ...ใช่เลย ต้องเป็นมัน...ฉันแน่ใจในการสันนิษฐาน ตามรูปการณ์ที่เคยเห็นอยู่บ่อยครั้ง ที่มันชอบบินร่อนคอยจังหวะที่จะพุ่งถลาลงมางับ...คาบคอเจ้าแมดดี้ขึ้นไปเขมือบ... แต่มันไม่เคยประสบความสำเร็จสักที...เพราะมีผู้คนเดินเตร่อยู่ใกล้ๆ มันในบริเวณนั้น...

วันนั้น...มันช่างโชคดี ปลอดโปร่งโล่งผู้คนซะจริงๆ สาวแมดดี้คงจะเดินเชิด...โชว์เดี่ยวด้วยความเพลิดเพลินใจ...ร่างขาวโพลนมองเห็นเป็นจุดเด่น อยู่ตามลำพัง... ก็เรียบร้อยเลยสิ ปร๊าดเดียว...โฉบเฉี่ยวคาบขึ้นไป...ไม่เหลือร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า...

ลาก่อนนะแมดดี้...แทงกิ้วหลายๆ นะ... ที่มาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ ให้ได้รักและผูกพันอยู่ถึง 7 ปี และทำให้น้ำตาซึมได้ทุกที...ที่คิดถึงมัน...ฮือ..ฮือ..ฮือ

มาถึงวันนี้...ฉันได้ให้สัญญากับตัวเองแล้วว่า...จะไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้ให้ผูกพันอีก... ไม่เอาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทไหนทั้งนั้น...ให้ฟรีๆ ก็ไม่เอา... ต่อให้เป็นอัฟริกันเกรย์...หรือ...เมคคอว์สีแสบๆ สวยขนาดไหน ก็ต้องตัดใจเซย์...โน เพราะฉันได้สำนึก...รู้รสชาติของความอาลัยสัตว์เลี้ยงแล้วน่ะนะ... ว่าเวลามันไม่อยู่ด้วยแล้ว...มันโหวงเหวงในหัวใจอย่างไร ?

ในวัยนี้...ฉันแน่ใจไม่อุตริคิดจะมีสัตว์เลี้ยงอีก...ชัวร์...ชัวร์ เพราะ...นอกจากจะเป็นภาระเพิ่ม...ให้กับชีวิตประจำวันที่สงบ...เรียบง่ายแล้ว มันยังทำให้คิดวิตกกังวล...ไม่รู้จบอีกว่า ถึงวันที่ไม่มีเรา มันจะอยู่กะใคร ??

(นกสายพันธุ์นี้...ดันมีอายุยืนยาวกว่าคนซะอีกแน่ะ !)