ลิขิตฟ้า ชะตาดิน ตอนปีชง ภาค 4

คนชงอันดับสอง "คนเกิดปีจอ" ท่านที่เกิดปีนักษัตรจอ...เป็นคนมีเหตุผลและมีจิตใจรักความยุติธรรม ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ยอมเสียสละให้คนที่รัก ร่าเริง ตื่นตัว ไวต่อเหตุการณ์ เป็นคนจริงจังจนกลายเป็นคนขี้กังวลและกระวนกระวายในทุกเรื่อง แต่ในปีนี้อาจทำให้ความเป็นตัวตนเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เนื่องจากพลังประจำตัวของคุณได้มาทับพลัง “ไท้ส่วย” เป็นปีจอธาตุดิน (หมาภูเขา) ส่งผลให้ได้รับพลังฟ้าอย่างเต็มที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่า ถ้าใครก็ตามมีดาวดีก็จะส่งเสริมเป็นสองเท่า แต่ถ้าดวงใครมีดาวเสียอยู่ก็เสียสองเท่าเช่นกัน (ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าดีหรือเสียต้องใช้วันเกิด เดือนเกิด ปีเกิดและยามที่เกิด เป็นตัวกำหนด) ดังนั้น...ภาพรวม จึงเป็นปีที่ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท จะเจอกับเรื่องวุ่นวาย กวนใจ นำดวงชะตาไปฝากเอาไว้กับ องค์เทพเจ้าไท้ส่วย เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่เป็นมงคลขอให้ท่านคุ้มครองดวงชะตาตลอดปีนักษัตรนี้ ***เดือนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ เมษายน และ ตุลาคม

คนปีชงอันดับสาม "คนเกิดปีมะแม" และ "คนเกิดปีฉลู" ท่านที่เกิดปีมะแม...มีลักษณะเป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีหัวทางด้านศิลปะ หัวแข็ง ถือดีในตนเอง เชื่อแต่ความคิดของตัวเองเสมอ จิตใจอาจหาญแกร่งกล้าไม่หวั่นเกรงใคร แต่ไม่ก้าวร้าว ภายนอกดูมาดสุขุมลึกลงไปคือความเคร่งเครียด มนุษย์สัมพันธ์ดี รักความสงบ ชอบธรรมชาติ ท่านที่เกิดปีมะแมในปีนี้ เป็นปีที่ดาวไม่ดี เคลื่อนเข้าเรือนชะตา ก็หนีไม่พ้นที่จะได้รับอิทธิพลเศษเคราะห์จากปีมะโรงซึ่งเป็นปีชงหลัก ทำให้ดวงชะตาอ่อนกำลังส่งผลให้ มีเรื่องของการเบียดเบียนจากคนรอบๆข้างมักพบปัญหาที่ทำให้อึดอัด ไม่สบายใจ เกิดปัญหาพุ่งไปยังหน้าที่การงาน เสียหายเรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณเอง ตัวเองกลับกลายเป็นคนสร้างปัญหาซะเอง อึดอัดกับเพื่อนร่วมงาน มีการกระทบกระทั่งกันมากกว่าที่ผ่านมาทำให้ต้องเหนื่อยมากขึ้นนั่นเอง ยังส่งผลถึงเรื่องของการส่งเสริมหรือการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ และยังส่งผลถึงเรื่องของความรักความสัมพันธ์ มีเรื่องของการแตกแยก การหมางเมิน มีเรื่องราวเข้าใจผิด เกิดความร้าวฉานในครอบครัว และเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ดังนั้นต้องใจเย็น ใช้เหตุผลในการพูดคุยกันให้มากและให้หนักแน่นเข้าไว้ จากหนักจะได้เป็นเบา ควรไหว้บูชา พระพิฆเณศวร....เรื่องความรักความสัมพันธ์โอม มนัช ศรี คะเณศายะ นะมาฮา ( 3 จบ )โอม อังคาระกายะ นะมาฮา ( 8 จบ ) สิ่งที่ต้องใช้บูชา...วุ้นเส้น 3 กำ หรือ หมี่ซั่ว 3 กำ พุทรา 8 ผล เงิน 8 บาท ถวายไม่ต้องลากลับลูกชื่อ..........สกุล........ขอถวาย.......(สิ่งที่บูชา)เพื่อกราบไหว้สักการะบูชา องค์พ่อพิฆเนศวรเทพเจ้าแห่งความสำเร็จและโชคลาภขอพระองค์โปรดเมตตารับการบวงสรวงสักการะในครั้งนี้ด้วย และขอให้พระองค์ทรงประทานพรให้กับลูกให้มีความสดชื่นสมหวัง มีความรักที่อบอุ่น เอื้ออาทรกัน ขอบารมีพระองค์ช่วยขจัดปัญหาอุปสรรคแก่ลูกด้วยเทอญ ***เมื่อดวงชะตาอ่อนแรงต้องเสริมบาร มีเพื่อให้มีกำลังที่จะต้านทางเคราะห์เหล่านี้ด้วยการไหว้บูชาบูชา เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพร สวดมนต์เจ้าแม่กวนอิม แล้ว อธิษฐาน.....ชื่อ........นามสกุล........ขอองค์ พระแม่กวนอิมปางประทานพร เปิดทางชีวิตให้กับลูก ขอพลังบารมี เมตตาธรรมแห่งองค์พระแม่กวนอิม คุ้มครองลูกให้พ้นจากอุปสรรค ปัญหา และโรคภัยไข้เจ็บ ให้ลูกพ้นจากสรรพเคราะห์ตัวนอก สรรพเคราะห์ตัวใน สรรพเคราะห์ใด ๆ ที่จรมาในชะตาราศีเกิดของลูก ขอให้ลูกสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ลูกตั้งจิตอธิษฐานทุกประการ..สาธุ ***เดือนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ รวมถึงความรักจะมีปัญหามากที่สุด คือ มกราคม กรกฎาคม และ ตุลาคม คนปี

ชงอันดับสุดท้าย คนเกิดปีระกา คนเกิดปีระกา...มีลักษณะรักสวยรักงามมาก และมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน มีกิริยามารยาทดี ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย มั่นคง สม่ำเสมอ รักสวยรักงาม อ่อนโยน เก่งในการเจรจา เข้ากับคนง่าย วางแผนเก่ง ตัดสินใจเฉียบขาด บุคลิกน่าเชื่อถือ ท่านที่เกิดปีระกา ในปีนี้ ผลจะร้ายน้อยกว่าปีชง จะส่งผลให้คุณถูกใส่ร้ายป้ายสี พูดให้เกิดความเสียหาย ถูกแทงข้างหลัง จะเจอปัญหากับคนรอบๆตัวทำให้ไม่สบายใจ ต้องระมัดระวังคำพูดคำจาที่อาจไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของผู้อื่นโดยพลั้งเผลอไม่ได้ยั้งคิด ส่งผลให้ผู้คนไม่สบอารมณ์เกิดความเกลียดชังท่าน จนเป็นเหตุทำให้เกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจนเสียงานเสียการได้ ทำให้บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ดีเสียหาย ก็จะต้องระวังในเรื่องของคนรอบข้าง จะมีแต่เรื่องรบกวนจิตใจ มีแต่ปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ความคาดหวังต่างๆจะไม่ได้ดังหวัง เหมือนขาดคนอุปถัมภ์ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็จะสร้างปัญหาได้เรื่อยๆทุกเรื่อง กลายเป็นว่าปีเกิด ควรจะเป็นปีที่หนุนตัวเอง กลับเป็นต้องมานั่งแก้ปัญหา เสริมดวงบารมีตัวเอง ด้วยการไหว้ "ท่านท้าวเวสสุวรรณ" ( ถือเจดีย์ลูกแก้วงู ) ซึ่งเป็นเทพประจำทิศเหนือ (พระศุกร์สะเทวา) เทพแห่งชื่อเสียงเกียติยศ ขอท่านโปรดเมตตาคุ้มครองลูกให้หลุดพ้นจากการเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ ใครที่คิดทำลายชื่อเสียง เกียรติยศของลูก ขอให้หลุดพ้นจากไปจากชีวิตของลูก ขอให้ตำแหน่งหนาที่การงานเจริญรุ่งเรือง ให้ได้พบทางเดินชีวิตที่ดี พ้นจากภัยทะเลแห่งความทุกข์ พ้นจากปัญหาอุปสรรคทั้งมวล มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งจิต-กาย-วิญญาณ ***เดือนที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ เดือนมีนาคม เดือนกันยายน เดือนตุลาคม ไม่ว่าจะเป็นนักษัตรปีชงใดๆก็ตาม ควรจะต้องนำดวงชะตาไปฝากเอาไว้กับองค์ "เทพเจ้าไท้ส่วย" เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่เป็นมงคล จึงจะต้องสักการบูชาเสริมดวงบารมีตัวเองทั้ง 12 นักษัต

อย่างไรก็ตามการยึดติดอยูู่กับดวงหรือการแก้ชงไม่สามารถจะช่วยให้ชีวิตของทุกท่านเฮงๆขึ้น การสร้างทัศนคติบวกคืออีกหนึ่งการปฎิบัติที่จะส่งเสริมให้ชีวิตของทุกท่านสดใสขึ้นดังตัวอย่างต่อไปนี้:

แก้วน้ำของคุณมีน้ำอยู่ครึ่งแก้วหรือว่างอยู่ครึ่งแก้ว? วิธีที่คุณตอบคำถามนี้อาจสะท้อนให้เห็นมุมมองที่คุณมีต่อชีวิต ทัศนคติต่อตัวเอง และรู้ได้ว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือร้าย ซึ่งมันอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของคุณได้ ทุกชีวิตมีทั้งช่วงเวลาดีและร้าย แต่การมองชีวิตในแง่ดีนั้นพบว่ามีผลด้านบวกต่อคุณภาพชีวิต เช่น ความมีสุขภาพดีของจิตใจและร่างกาย การมองโลกในแง่ดียังจัดเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการความเครียดอีกด้วย การมองโลกในแง่ดีไม่ได้หมายถึงการไม่ใส่ใจความยากลำบากหรือความท้าทายในชีวิต แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีที่คุณเข้าถึงสิ่งต่างๆ หากคุณมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด มันก็คงยากที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองในชีวิตของคุณ แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะมุ่งเน้นไปที่ด้านบวกในชีวิตโดยอาศัยความอดทนและสติ

ส่วน 1 ของ 2: เรียนรู้วิธีการรับมือกับอารมณ์ของคุณ

1. พิจารณาด้านดีและด้านแย่ในชีวิต แล้วดูว่าคุณได้รับผลกระทบจากสองสิ่งอย่างไรบ้าง. การมองโลกในแง่ดีไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้อง “มีความสุข” ตลอดเวลา เพราะในความจริงแล้ว การพยายามบังคับตัวเองให้มีความสุขระหว่างเวลาที่บอบช้ำทางจิตใจนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ คุณควรปรับตัวเองไปตามอารมณ์ในชีวิตอย่างเต็มที่แทน และยอมรับว่าความรู้สึกทั้งด้านลบและด้านบวกเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ การพยายามข่มอารมณ์บางอย่างไว้อาจทำให้เกิดอารมณ์เศร้าเสียใจอย่างรุนแรงได้ การไม่ใส่ใจในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป สามารถช่วยให้คุณปรับตัวได้ง่ายและควบคุมสถานการณ์ที่อาจเกิดอย่างไม่คาดคิดในอนาคตได้ วิธีนี้จะเพิ่มความสามารถในการมองโลกในแง่ดีและฟื้นตัวได้ดีจากความไม่แน่นอน

o ความรู้สึกด้านลบสามารถกลายเป็นนิสัยประจำได้เมื่อเวลาผ่านไป หลีกเลี่ยงการต่อว่าตัวเองเพราะอารมณ์และความสัมพันธ์ด้านลบ การตำหนิไม่เป็นประโยชน์เพราะมันไม่ช่วยให้คุณเติบโต แต่มันคือการมองย้อนกลับไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

o ให้คุณรู้ตัวอยู่เสมอว่าความรู้สึกด้านลบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ การเขียนบันทึกจะช่วยคุณได้ ให้เขียนบันทึกลงไปเมื่อคุณมีความรู้สึกหรือความคิดด้านลบเกิดขึ้น แล้วจึงพิจารณาบริบทของมันและหาวิธีการต่างๆ ในการตอบโต้กับสิ่งแย่ๆ เหล่านั้น

o ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีคนขับรถตัดหน้าคุณ คุณตอบโต้ด้วยการรู้สึกโกรธ บีบแตร หรือตะโกนใส่คนขับรถแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน คุณอาจเขียนลงในสมุดบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามันทำให้คุณรู้สึกอย่างไร และปฏิกิริยาตอบโต้โดยทันทีของคุณเป็นอย่างไร อย่าตัดสินว่าตัวคุณ “ถูก” หรือ “ผิด” แค่เขียนว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น

o ขั้นตอนต่อไป ลองกลับมาคิดดูอีกครั้งถึงสิ่งที่คุณเขียนไป คุณตอบโต้อย่างเหมาะสมกับคุณค่าของตัวเองและเป็นแบบคนที่คุณอยากเป็นหรือไม่? หากไม่ คุณสามารถทำอะไรที่แตกต่างไปได้หรือไม่? คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คุณกำลังตอบโต้อยู่แน่? ตัวอย่างเช่น บางทีคุณอาจจะไม่ได้โกรธคนขับรถจริงๆ แต่เป็นเพราะคุณเครียดมาทั้งวัน คุณจึงระเบิดความเครียดใส่คนๆ นั้น

o ตั้งตาคอยเวลาที่คุณเขียนบันทึกเหล่านี้ อย่าใช้มันเป็นเพียงที่ระบายความรู้สึกแย่ๆ ให้คิดว่าคุณสามารถเรียนรู้อะไรได้จากประสบการณ์เหล่านั้นบ้าง คุณสามารถใช้อะไรจากมันเพื่อเติบโตขึ้นได้บ้าง? คุณสามารถใช้ประสบการณ์นี้เพื่อเป็นบทเรียนแก่เรื่องอื่นๆ ได้หรือไม่? หากคุณประสบกับสถานการณ์ที่เหมือนกันในคราวหน้า คุณจะตอบโต้อย่างไรให้เหมาะสมกับคุณค่าของตัวคุณเอง? ตัวอย่างเช่น การรู้ว่าคุณตอบโต้ด้วยอารมณ์โกรธเพราะคุณเครียด สามารถช่วยให้รู้ได้ว่าทุกคนย่อมทำความผิดพลาดได้ และยังส่งเสริมให้คุณรู้สึกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นในครั้งหน้าเวลาที่ใครแสดงอารมณ์โกรธใส่คุณ การมีความคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณ “อยาก” ตอบโต้กับสถานการณ์เลวร้ายอย่างไรจะช่วยคุณในเวลาที่ยากลำบากได้

2. 2ฝึกฝนการวิปัสสนา. การวิปัสสนาคือกุญแจสำคัญของการมองโลกในแง่ดี เพราะมันส่งเสริมให้คุณจดจ่อไปยังการรับรู้อารมณ์ของคุณ ณ เวลานั้นโดยไร้การตัดสินก่อน บ่อยครั้ง ปฏิกิริยาแย่ๆ มักเกิดขึ้นเวลาที่เราประสบปัญหากับอารมณ์ของตัวเอง หรือเวลาที่เราปล่อยให้ตัวเองถูกอารมณ์ครอบงำ จนเราไม่สามารถควบคุมวิธีที่จะแสดงออกได้ จดจ่อไปที่ลมหายใจของคุณ ยอมรับในร่างกายและอารมณ์ของคุณ และการเรียนรู้จากอารมณ์ของคุณแทนที่จะปฏิเสธมันจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจกับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเวลาความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้น

o การวิจัยพบว่าการวิปัสสนาจะช่วยในเรื่องความรู้สึกกังวลและความซึมเศร้ามันสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการที่ร่างกายของคุณตอบรับความเครียด

o มองหาชั้นเรียนวิปัสสนาในชุมชนของคุณ คุณยังสามารถหาแนวทางการนั่งสมาธิทางอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย เช่น ที่ศูนย์การวิจัยการเจริญสติแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลิส (UCLA Mindful Awareness Research Center) หรือ BuddhaNet (และมีการสอนหลากหลายใน wikiHow เช่นกัน)

o คุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากมายในการนั่งสมาธิเพื่อให้เห็นผลของมัน แค่วันละไม่กี่นาทีก็สามารถช่วยให้คุณมีสติรับรู้และยอมรับอารมณ์ของคุณได้

3. ลองสำรวจดูว่าการพูดคุยกับตัวเองหรือเสียงในใจของคุณนั้นเป็นด้านบวกหรือด้านลบ. การพูดกับตัวเองในใจคือตัวบ่งชี้ที่ดีในการบอกว่าคุณมองโลกในแง่ดีหรือร้าย ลองใส่ใจฟังสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองเป็นเวลาหนึ่งวัน และดูว่ารูปแบบการพูดในใจที่เป็นด้านลบดังต่อไปนี้ (สิ่งที่คุณพูดคนเดียวในใจ) เริ่มปรากฏบ่อยขึ้นหรือไม่:

o การทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิมและทำให้แง่ดีต่างๆ หายไป

o ตำหนิตัวเองในทันทีเวลาที่มีสถานการณ์หรือเหตุการณ์แย่ๆ

o คาดหวังผลที่แย่ที่สุดจากทุกๆ เรื่อง ร้านกาแฟแบบไดร์ฟทรูจดเมนูที่คุณสั่งผิด คุณเลยคิดโดยทันทีว่าทั้งวันนี้คงมีแต่เรื่องแย่ๆ

o คุณมองทุกเรื่องมีแค่แง่ดีหรือแง่ร้ายเท่านั้น (หรือที่เรียกว่าการมองโลกแง่เดียว) ในสายตาของคุณนั้นทุกสิ่งไม่มีตรงกลาง

4. มองหาด้านบวกในชีวิตของคุณ. การปรับเปลี่ยนความคิดในใจของคุณนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะได้มุ่งเน้นไปที่ด้านดีๆ ของทั้งตัวคุณและโลกรอบๆ ตัวด้วย แม้การคิดด้านบวกเป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การเป็นคนมองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริง แต่ผลที่ได้จากการคิดบวกต่อทั้งร่างกายและจิตใจของคุณนั้นอาจแตกต่าง ตัวอย่างเช่น:

o อายุยืนขึ้น

o อัตราความหดหู่ต่ำลง

o อัตราความเศร้าต่ำลง

o ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น

o สภาวะทางจิตใจและร่างกายที่ดีขึ้น

o อัตราความเสี่ยงจากการเสียชีวิตจากโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจที่ลดลง

o ทักษะที่ดีขึ้นในการแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากและเวลาที่เครียด

5. 5อย่าลืมว่าการมองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริงนั้นต่างกับการมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา. การมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ลืมหูลืมตาเกิดขึ้นเวลาที่บุคคลหนึ่งเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องร้ายใดๆ เกิดขึ้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่สภาวะการมั่นใจมากเกินไปและความซื่อไม่ทันคน และมันอาจนำไปสู่ความผิดหวังหรือแม้แต่อันตรายได้ การมองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่การเพิกเฉยต่อความท้าทายหรือทำเหมือนว่าความรู้สึกและประสบการณ์ด้านลบนั้นไม่มีอยู่จริง แต่มันคือการยอมรับความท้าทายเหล่านั้นและพูดว่า “ฉันจะผ่านมันไปได้!”

o ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจไปกระโดดร่มโดยไม่ฝึกหรือศึกษามาก่อน เพราะคิดว่า “มันคงไม่เป็นอะไร” คือตัวอย่างของการมองโลกในแง่ดีโดยไม่ลืมหูลืมตา (และอันตรายด้วย!) มันไม่ตรงกับความเป็นจริงและมันคือการไม่ยอมรับว่าคุณต้องลงมือทำก่อนเพื่อก้าวข้ามผ่านอุปสรรค การตัดสินใจแบบนี้อาจนำไปสู่อันตรายอย่างแท้จริงได้

o คนที่มองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริงจะดูการกระโดดร่ม และรู้ได้ว่ามันคือกีฬาอันซับซ้อนที่ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมากและต้องมีมาตรการความปลอดภัยด้วย แทนที่จะท้อใจเพราะสิ่งที่ต้องเตรียม คนมองโลกในแง่ดีจะตั้งเป้าหมาย (“เรียนวิธีกระโดดร่ม”) แล้วจึงค่อยเริ่มฝึกฝนมัน โดยมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้

6.เขียนข้อความด้านบวกเน้นย้ำตัวเองทุกวัน. การจดบันทึกถ้อยคำสั้นๆ เอาไว้ จะช่วยให้เราเชื่อในความเป็นไปได้ของสิ่งที่เราอยากให้สำเร็จ เขียนคำที่ช่วยย้ำเตือนว่าอะไรที่คุณกำลังจะเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวทางที่คุณมองโลก วางมันไว้ในที่ๆ คุณสามารถเห็นได้ทุกวัน เช่น บนกระจกในห้องน้ำ ในล็อกเกอร์ บนคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่แปะไว้บนกำแพงห้องน้ำ ตัวอย่างของการย้ำเตือนที่ดีคือ:

o "ทุกสิ่งเป็นไปได้"

o "โอกาสไม่ได้สร้างฉัน แต่ฉันคือคนสร้างโอกาส"

o "สิ่งเดียวที่ฉันควบคุมได้คือมุมมองของฉันต่อชีวิต"

o "ฉันมีทางเลือกเสมอ"

7. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น. มันง่ายที่จะอิจฉาคนอื่น แต่สิ่งนี้จะนำไปสู่ความคิดด้านลบเพียงอย่างเดียว ("พวกเขามีเงินมากกว่าฉัน" หรือ "เธอวิ่งได้เร็วกว่าฉัน") จงจำไว้ว่ายังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราเสมอ หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบในด้านลบกับคนอื่น และมุ่งเน้นไปที่ด้านบวกแทน การวิจัยพบว่าการคร่ำครวญเกี่ยวปัญหาของตัวเองอาจนำไปสู่ความซึมเศร้าและความกังวล

o การฝึกฝนความรู้สึกขอบคุณในชีวิตประจำวันเป็นวิธีที่ดีในการออกจากวังวนของการเปรียบเทียบที่เป็นลบ เขียนจดหมายเพื่อขอบคุณคนรอบตัวคุณหรือบอกต่อหน้าก็ได้ การมุ่งเน้นไปที่สิ่งดีๆ เหล่านี้ในชีวิตของคุณสามารถทำให้คุณอารมณ์ดีและรู้สึกว่าชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีได้

o พิจารณาการเก็บบันทึกที่แสดงความขอบคุณเอาไว้ การวิจัยพบว่าผู้ชายและผู้หญิงที่เขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณอาทิตย์ละ 2-3 ประโยค มักจะรู้สึกมองโลกในแง่ดีและรู้สึกดีกับชีวิตโดยรวมของตัวเองมากกว่าเดิม

8.ปรับเปลี่ยนมุมมอง 1 หรือ 2 ด้านในชีวิตคุณให้ดีขึ้น. การมองโลกในแง่ร้ายมักมีรากฐานมาจากความรู้สึกหมดหนทางหรือเสียการควบคุม พิจารณา 1 หรือ 2 แง่มุมหลักที่คุณอยากเปลี่ยนในชีวิตของคุณและพยายามทำมันให้ดีขึ้น สิ่งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในพลังของตัวเองและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ

o มองว่าตัวเองเป็นสาเหตุ ไม่ใช่ผล คนมองโลกในแง่ดีมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าสถานการณ์หรือเหตุการณ์ด้านลบนั้นสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความพยายามและความสามารถของตัวเอง

o เริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่าคิดว่าคุณต้องทำทุกอย่างในคราวเดียว

o การคิดดีอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี ในการทดลองหนึ่ง การฝึกให้นักกีฬาบาสเกตบอลชายทำในสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีจากความสามารถของเขา ตัวอย่างเช่น การชู้ตลูกโทษ และการได้ผลลัพธ์ที่แย่จากการขาดความพยายามนั้นแสดงให้เห็นว่าช่วยให้นักกีฬาพัฒนาศักยภาพที่ตามมาภายหลังได้

9. พบว่า การยิ้มอย่างร่าเริงจะช่วยทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิมและมองปัจจุบันและอนาคตในแง่ดี o ในการทดลองหนึ่ง ผู้ร่วมทดลองที่ถูกขอให้อมปากกาไว้ในปาก (ทำให้พวกเขาขยับกล้ามเนื้อใบหน้าเหมือนกับการยิ้ม) ได้ให้คะแนนการ์ตูนว่าตลกกว่าผู้ร่วมทดลองคนอื่น แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพียงเพราะรอยยิ้มที่ช่วยให้เปลี่ยนปฏิกิริยาให้ดีขึ้น การตั้งใจเปลี่ยนกล้ามเนื้อใบหน้าให้แสดงออกถึงอารมณ์ด้านบวกจะส่งข้อความไปยังสมองแบบเดียวกัน และทำให้อารมณ์ดีขึ้น

ส่วน 2 ของ 2: เพิ่มแง่มุมบวกในชีวิต

1. รับรู้ว่าคุณสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวคุณอย่างไร. การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในสมองของคุณแล้วส่งผ่านออกมาข้างนอก แต่มันเกิดจากคุณและโลกที่คุณอยู่ เรียนรู้ที่จะจำแนกมุมมองต่างๆ รอบตัวคุณที่คุณไม่ชอบ แล้วจึงใช้เวลาและพลังในการเปลี่ยนแปลงมัน

o พยายามเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นด้วยวิธีที่เป็นรูปธรรม โดยเริ่มทีละการกระทำ อาจเป็นการเข้าร่วมขบวนการความยุติธรรมทางสังคมหรือเหตุผลทางการเมืองที่สำคัญต่อคุณก็ได้

o จำไว้ว่า อย่างไรก็ตามโลกนี้ประกอบไปด้วยความหลากหลายมากมาย และคุณเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง อย่าคิดไปเองว่าวัฒนธรรมหรือวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของคุณนั้นเหนือกว่าหรือเป็นวิธีที่ถูกวิธีเดียว การยอมรับความแตกต่างในโลกใบนี้และการพยายามช่วยคนอื่นจะช่วยสอนคุณให้มองเห็นความงามและแง่มุมบวกในหลายๆ สิ่ง

o ในระดับเล็กๆ แม้แต่การจัดเรียงสิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างเฟอร์นิเจอร์สามารถช่วยทำลายรูปแบบพฤติกรรมเก่าๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์ของคุณ และทำให้คุณสร้างพฤติกรรมใหม่ขึ้นมา การศึกษาพบว่าการเลิกนิสัยบางอย่างนั้นจะง่ายขึ้นหากคุณเปลี่ยนวิถีปฏิบัติของคุณ เพราะมันช่วยกระตุ้นส่วนใหม่ๆ ในสมองคุณ

o วิธีนี้ก็เหมือนกับการเรียนรู้ที่จะยอมรับและศึกษาขอบเขตอารมณ์ที่กว้างขวางของคุณ เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทดลองในสิ่งที่คุณไม่ต้องพบเจอ แทนที่จะจัดการกับอารมณ์ของคุณด้วยการอยู่กับความเคยชินเดิมๆ ทุกวัน ให้ทดลองกับแต่ละปฏิกิริยาและพยายามหาทางเพื่อทำให้สภาพแวดล้อมที่คุณใช้ร่วมกับคนอื่นดีขึ้น

o สร้างเป้าหมายและความคาดหวังต่ออนาคตจากความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรมที่คุณมีต่อคนอื่นและสภาพแวดล้อม ในการทำเช่นนี้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงการสร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริงต่อตนเองและผู้อื่นได้

2. ลองคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรหากไม่มีด้านดี. การฝึกแบบนี้มาจากผลการวิจัยของเบิร์กลีย์ ซึ่งได้แนะนำว่าคุณควรใช้เวลา 15 นาทีต่ออาทิตย์เพื่อฝึกฝน การคิดว่าชีวิตคุณจะแตกต่างไปอย่างไรหากไม่มีสิ่งที่คุณรักหรือรู้สึกขอบคุณนั้นสามารถช่วยให้คุณบ่มเพาะการมองโลกในแง่ดีได้โดยการโต้ตอบกับแนวโน้มทางธรรมชาติที่นึกเอาว่าสิ่งดีๆ ในชีวิตนั้น “ได้รับมา” การระลึกว่าเรานั้นโชคดีที่สิ่งดีๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นและมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ การคิดแบบนี้จะทำให้ทัศนคติเกี่ยวกับความรู้คุณในด้านดีเกิดขึ้น

o เริ่มด้วยการมองไปที่เหตุการณ์ดีๆ อันหนึ่งในชีวิตคุณ เช่น ความสำเร็จ การไปท่องเที่ยว หรืออะไรก็ตามที่มีความหมายต่อคุณ

o จดจำเหตุการณ์นั้น และคิดถึงสภาวะที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น

o ลองคิดถึงหนทางต่างๆ ที่อาจทำให้สถานการณ์ตอนนั้นต่างออกไป ตัวอย่างเช่น คุณก็คงไม่ได้เรียนภาษาที่ทำให้คุณเลือกการท่องเที่ยวที่นั้น หรือคุณอาจไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์วันที่คุณเจอประกาศรับสมัครของงานที่คุณรักมากในตอนนี้

o เขียนเหตุการณ์ที่เป็นไปได้และการตัดสินใจต่างๆ ที่อาจเกิดแตกต่างออกไปและทำให้เหตุการณ์ดีๆ นี้ไม่เกิดขึ้น

o ลองจินตนาการดูว่าชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไรถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น ลองจินตนาการดูว่าคุณจะพลาดอะไรไปบ้างหากคุณไม่ได้รับสิ่งดีอื่นๆ ที่ถูกสร้างมาจากเหตุการณ์นั้น

o กลับมาย้อนนึกว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง ไตร่ตรองถึงสิ่งดีๆ ที่มันได้พามาในชีวิตคุณ กล่าวแสดงความขอบคุณว่าสิ่งเหล่านี้ ที่ไม่จำเป็นต้องเกิดก็ได้นั้น ผ่านไปด้วยดีและนำประสบการณ์อันแสนสนุกมาให้คุณ

3. มองหาสิ่งดีๆ ในสถานการณ์เลวร้าย. มันคือเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่มีแนวโน้มจะคิดถึงแต่สิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตมากกว่าจะคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปได้ดี เผชิญหน้ากับแนวโน้มนี้ด้วยการวิเคราะห์เหตุการณ์แย่ๆ และหา “ด้านดี” ของมัน การวิจัยพบว่าวิธีนี้คือกุญแจสำคัญต่อการมองโลกในแง่ดี และยังช่วยในด้านความเครียด ความหดหู่ และความสัมพันธ์ของคุณและคนอื่นด้วย ลองทำวันละ 10 นาทีเป็นเวลา 3 อาทิตย์ แล้วคุณจะแปลกใจที่คุณมองโลกในแง่ดีมากขึ้น


ส่วนท่านใดสนใจการแก้และวางฮวงจุ้ยประกอบดวงดาวเพื่อให้ชีวิตและธุรกิจดีขึ้นติดต่อได้ที่ Line:stevefengshui หรือ stevefengshui@gmail.com