It's now or never
Come hold me tight
Kiss me my darling
Be mine tonight
Tomorrow will be too late
It's now or never
My love won't wait

When I first saw you
With your smile so tender
My heart was captured
My soul surrendered
I'd spend a lifetime
Waiting for the right time
Now that you’re near
The time is here at last

It's now or never
Come hold me tight
Kiss me my darling
Be mine tonight
Tomorrow will be too late
It's now or never
My love won't wait

Just like a willow
We would cry an ocean
If we lost true love
And sweet devotion
Your lips excite me
Let your arms invite me
For who knows when
We'll meet again this way

It's now or never
Come hold me tight
Kiss me my darling
Be mine tonight
Tomorrow will be too late
It's now or never
My love won't wait
It's now or never
My love won't wait
It's now or never
My love won't wait
It's now or never
My love won't wait

IT’S NOW OR NEVER by ELVIS PRESLEY
SONGWRITERS: AARON H. SCHROEDER, WALLY GOLD

ถ้าอ่านชื่อที่หัวคอลัมน์ข้างบนแล้ว พวกเราหลายๆ คนที่เมืองแอล.เอ. อาจจะไม่คุ้นตาหรือไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ “พอล แม็คโดนัลด์” คงจะร้อง “อ้อ!” ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะนักฟังเพลงแฟนวงดนตรี “SOUND OF BANGKOK” ชื่อดังระดับมาตราฐานของเมืองแอลเอ ที่พวกเรารู้จักฝีมือของเหล่านักดนตรีกันอย่างดี วงนี้ปัจจุบันกลายเป็น MINI S.O.B. และยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมคือห้องอาหาร “เครื่องเทศ” หรือ “K.T.” แต่หลังๆ นี้ คุณพอล ไม่ค่อยได้ไป นอกจากพรรคพวกเชิญไปร่วมสังสรรค์ในโอกาสพิเศษ คงจะเป็นเพราะงานรัดตัวและครอบครัวที่ต้องดูแลมีกันอยู่ ๕ คน คุณพ่อคุณแม่ ลูกชาย ๒ ลูกผู้หญิง ๑ แต่ตอนนี้ลูกชายคนโต วารุฒน์ MATTHEW อายุ ๒๖ ปี เป็นทนายความทำงานอยู่ที่ วอชิงตัน ดี.ซี.

นอกจาก คุณพอล นั่งเก้าอี้ในตำแหน่งสำคัญระดับบริหาร มีความรับผิดชอบสูงใน “บริษัท แม็คโดนัลด์” ฟาสฟู๊ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ยังเป็นเจ้าของดูแล ร้านแม็คโดนัลด์ ของตัวเองอีก ๘ แห่ง แต่เพราะเป็นนายที่ใจดีมีความโอบอ้อมอารีต่อพนักงานลูกน้อง ให้รางวัลโบนัสแก่ผู้ทำงานดีจึงมีลูกน้องที่ไว้วางใจทำงานให้อย่างเต็มที่ในแต่ละร้านซึ่งช่วยได้มาก ใครๆก็อยากทำงานกับเจ้านายที่เข้าใจพวกเขา คงเป็นเพราะ คุณพอล เคยลำบากมาก่อนจึงให้โอกาศผู้น้อย เมื่อมาถึงที่ประเทศอเมริกาใหม่ๆก็เริ่มทำงานที่ไม่เคยทำมาก่อนที่เมืองไทย ทำงานหนักมาตลอดควบกับการศึกษาหาความรู้เพิ่ม ก่อนที่จะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ คุณพอล เคยคุยให้ฟังว่าผู้ที่ไม่เคยลืมในชีวิตนี้คือ คุณพิชัย วาสนาส่ง เพราะเป็นแรงบันดาลใจทำให้กลับไปเรียนหนังสืออีกครั้งโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เนื่องจากได้เห็นความสามารถของท่านตอนพูดภาษาอังกฤษบนจอโทรทัศน์

คุณพอล ให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกๆ เหนือสิ่งอื่นใด ลงทุนย้ายครอบครัวมาซื้อบ้านใหม่ที่เมือง SAN MARINO เพราะทราบว่าระบบการศึกษาของโรงเรียนที่นี่ดีกว่าเมืองอื่นๆ ไม่เพียงแต่การศึกษาเท่านั้นยังสนับสนุนลูกๆในด้านดนตรีและกีฬา เวลาลูกชายไปแข่งขันว่ายน้ำที่ต่างรัฐ คุณพ่อจะตามไปให้กำลังใจถึงแม้จะมีงานล้นมือเพียงใด เรียกได้เต็มปากว่าคุณพอล เป็น FAMILY MAN เป็นคนเงียบๆ พูดน้อยและค่อนข้างจะ LOW PROFILE เมืองที่ครอบครัว ตุลาภรณ์ อาศัยพักพิงอยู่นี้ถ้าจะเทียบก็เหมือนเมือง BEVERLY HILLS บ้านแต่ละหลังราคาเป็นล้านๆ ส.ท่าเกษม เป็นสมาชิกของ HUNTINGTON LIBRARY ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซานมารีโน่ เลยไปแถวนั้นบ่อยๆ ชอบเวลานั่งรถผ่านบ้านสวยๆ สนามหญ้าหน้าบ้านแต่ละหลังได้รับการดูแลอย่างดีตัดหญ้าเรียบเขียวขจี ปลูกไม้ประดับไม้ดอกนานาชนิด เชื่อว่าระยะนี้คงจะประดับประดาด้วยไฟและตกแต่งบ้านด้วยบรรยากาศคริสต์มาสกันอย่างตระการตา

ส.ท่าเกษม รู้จักเสียง คุณพอล ก่อนที่จะรู้จักตัวเพราะเป็นแฟนเพลงวง S.O.B. ของ คุณอ้วน สมชาย วงศ์กุณ เล่นเพลงพวก OLDIES ซึ่งหาฟังยาก เวลาไปกับพรรคพวกนั่งรับประทานอาหารอร่อยๆ กันโต๊ะยาว จะเห็นหนุ่มใหญ่เสียงดีนักร้องกิตติมศักดิ์ขึ้นไปร้องเพลงที่ล้วนแล้วแต่รู้จักและถูกใจทุกเพลง ของ ELVIS, THE BEATLES, THE EAGLES, และเพลง HOUSE OF THE RISING SUN ของ THE ANIMALS ฯลฯ แต่ เพลงแรก ที่ต้องหันไปดูว่าใครเป็นผู้ขับร้องคือเพลง “IT’S NOW OR NEVER” จนในสุดในปี พ.ศ.๒๕๕๓ คุณเกรียงศักดิ์ ไกรกิติคุณ เจ้าของห้องอาหาร ซันเซ็ท เป็นผู้จัด คอนเสิร์ท สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ คณะกรรมการจัดงานนัดประชุมกันที่ K.T. คุณเกรียงศักดิ์ เพื่อนซี้ของ คุณพอล เลยแนะนำให้รู้จักเป็นทางการและได้พบกับ คุณแม้ว รุจา ภรรยาคู่ชีวิตผู้น่ารักที่นี่เช่นกัน คุณผู้อ่านทราบไหมว่าการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะประสพผลสำเร็จในชีวิตการงานและครอบครัวได้นั้น เพราะมีศรีภรรยาเป็นกำลังหนุนที่สำคัญทีเดียว!

ลาก่อนสำหรับเสาร์นี้
ส.ท่าเกษม
๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๙