ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ความรัก...คือ

ใกล้ถึงวันแห่งความรักอีกครั้ง ความรักจึงอบอวลไปทั่วบรรยากาศ ผู้เขียนจึงขอหยิบเรื่องของความรักมาเขียนให้เข้ากับบรรยากาศ

เมื่อเป็นวัยรุ่น ความรักนั้นยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหลือหลาย ความรักมีพลังผลักดันให้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตนจะทำได้ ทนในสิ่งที่ไม่เคยทน ยอมเสียศักดิ์ศรีและยอมเสียทุกสิ่งก็เพราะความรักนี้เอง

เมื่อเป็นวัยรุ่น ด้วยแรงผลักดันของความรัก ผู้เขียนสามารถเขียนกลอนเป็นเล่มใหญ่ๆ เสียดายที่หายไปเสียแล้ว แต่ถ้านำกลับมาอ่านคงเขินน่าดู เพราะคงจะเชยและคลื่นไส้จนทนอ่านไม่ไหว

เมื่อเป็นวัยรุ่นได้อ่านบทกวีของคาริล ยิบราน (Kahlil Gibran) ซึ่งเป็นนักเขียนและกวีชาวเลบานอน ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลก กล่าวถึงความรักด้วยภาษางดงามสุดซึ้งไว้ในหนังสือ The Prophet อันคำว่า พรอพเฟ็ต นี้แปลว่า ผู้พยากรณ์ หรือ ผู้ที่ได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้มาเผยแพร่ธรรมะ หนังสือนี้ถือเป็นปรัชญาที่เรียกว่าใคร

เป็นพวก “อาร์ทติส” ก็จะต้องอ่านและหลงใหล ใครที่อ่านแล้วแปลไม่ออกก็ต้องอ่านของอาจารย์ระวี ภาวิไล ที่ท่านแปลไว้อย่างงดงาม บทกวีของคาริล ยิบราน อันว่าด้วยความรักที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ บทกวีที่นำมาลงชิ้นนี้

"ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก"


เมื่อความรัก … ร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่า … ทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่า … หนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่า … เสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรัก สวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรัก ... จะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ...
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรัก ... ไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้น พอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า ...
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า ... เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่า เธอมีคุณค่าพอแล้ว ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
... ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจ ในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุข ซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ

เมื่อผู้เขียนเขียนเรื่องความรักนี้ ก็นำบทกวีบทนี้มาอ่านใหม่ ปรากฏว่านั่งหัวเราะตัวเองเสียนาน เพราะไม่รู้สึกซาบซึ้งไปกับความหมาย ซ้ำร้ายยังมีความรู้สึกว่าไม่เป็นเรื่อง และเพ้อเจ้อเสียด้วย ขออภัยท่านที่รักบทกวีของคาริล ยิบราน ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจแต่ประการใด เพียงแต่กำลังจะบอกว่า ความรู้สึกเกี่ยวกับความรักของผู้เขียนนั้นเปลี่ยนไปเสียมาก

ได้มาอ่านท่านอาจารย์ว.วชิรเมธี ท่านเขียนเรื่องความรักไว้ กลับรู้สึกซาบซึ้งและเข้าถึงได้มากกว่า จึงได้คัดนำมาทั้งตอนให้ท่านได้อ่าน อย่างนี้จึงจะเรียกว่า รักอย่างพุทธ และรักอย่างผู้มีปัญญา นั่นเอง

“หนุ่มสาวรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ว่า ความรักมีหลายมิติ แต่ที่เราหยิบมาเน้นทุกวันนี้มีมิติเดียวคือความรักในเชิงชู้สาว ซึ่งมักจะไปจบที่การมีความสัมพันธ์ เพราะว่าไม่อยากจะผูกพัน และนั่นเป็นเหตุให้ก่อปัญหาสังคมตามมามากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงนั้น ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงชายหนุ่มหญิงสาว”


ในทรรศนะที่สรุปมาจากองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ความรักมีด้วยกัน 4 มิติ
1.รักตัวกลัวตาย
2.รักใคร่ปรารถนา
3.รักเมตตาอารี
4.รักมีแต่ให้
พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายว่า

1.รัก ตัวกลัวตาย เป็น ความรักอิงสัญชาตญาณพื้นฐานของการมีชีวิต ความรักเช่นนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกประเภท อันตรายของความรักชนิดนี้ คือถ้ามีมากเกินไปจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว และบางครั้งเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ก็ถึงกับต้องฆ่าคนอื่น
2.รักใคร่ ปรารถนา เป็นความรักอิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเครื่องมือของความรักชนิดนี้ ความรักชนิดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ มีความโลภเจืออยู่ นั่นก็คืออยากจะได้ ใคร่จะครอบครอง และถ้าตัวเองได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าประสบความสำเร็จในความรักชนิดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้ตามที่ต้องการ ความโลภอาจจะกลายเป็นความแค้น “และ นั่นเป็นเหตุให้หลายครั้ง คนที่รักกันแต่พอผิดหวังจากความรัก จึงลงเอยด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกัน และในบางกรณีถึงขั้นฆาตกรรม ชำแหละคนรักเป็นศพ ไหนบอกว่ารัก ทำไมต้องจบด้วยการฆาตกรรม เพราะลึกๆ แล้วไม่ใช่รัก เป็นแค่ราคะ คือความปรารถนาในกามารมณ์ และเป็นเพียงความโลภ คือต้องการที่จะครอบครองมาเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นความรักชนิดนี้จึงไม่ปลอดภัย ต้องก้าวไปหาความรักที่สูงขึ้น”
ความรักที่ 3 คือ รักเมตตาอารี คือความรักที่อิงและร่วมทางวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น มีสายเลือดเดียวกัน พ่อแม่ก็จะรักลูกมาก เพราะลูกก็คือสำเนาของตนเอง คนที่ถือศาสนาเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกเพราะมีศาสดาคนเดียวกัน คนที่ถือสัญชาติเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกกับคนสัญชาติเดียวกัน และมนุษย์ด้วยกันก็จะรู้สึกว่าต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าสัตว์ “ความ รักเช่นนี้เป็นความรักที่อาศัยโยงใยทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อ เลี้ยง เราจะรักใครก็ตามที่เราเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น ถ้าเราเดินอยู่ในอเมริกาแล้วเจอคนไทย เราจะรู้สึกปีติเบิกบานขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ฝรั่งที่เราเจอก็คนทั้งนั้นแต่เราจะเฉยๆ ถ้าคนไทยคนนั้นเป็นชาวพุทธเหมือนกับเรา ก็ยิ่งดีใจใหญ่ ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะลึกๆ เรามีโยงใยทางวัฒนธรรมร่วมกันบางสิ่งบางอย่าง ความรักชนิดนี้ทำให้มนุษย์รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน
แต่ อันตรายของความรักชนิดเช่นนี้ก็คือ บางครั้งมันกลายเป็นความหลงผิด ยึดติดถือมั่นในกลุ่ม ในหมู่ ในพรรค ในเผ่า ในพันธุ์ของตัวเอง แล้วกลายเป็นสงครามระหว่างชาติพันธุ์ ระหว่างผิวสี ศาสนา ลัทธิ การเมือง ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วนับครั้ง ไม่ถ้วน เช่น ฮิตเลอร์สังหารชาวยิวเพราะอะไร หรือสงครามครูเสดเกิดขึ้นยาวนานหลายร้อยปี ก็เพราะทุกคนอยากจะปกป้องพระเจ้าของตนเอง รวมทั้งสงครามแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย ความรักชนิดนี้ลึกๆ เข้าไปอาศัยคำว่าลัทธิ อุดมการณ์เป็นเครื่อง หล่อเลี้ยง เป็นเครื่องเชื่อมโยงที่สำคัญ”
พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ยังรวมถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองที่มีทั้ง เสื้อเหลืองและเสื้อแดง หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เข้าไปยึดติดถือมั่นแล้วมีอิทธิพล ต่อการดำเนินชีวิต
“ความรักของสีเหลืองสีแดงก็เป็นความรักในประเภท ที่ 3 นี้ด้วย ความรักชนิดที่ 1 ที่ 2 และชนิดที่ 3 ก็ยังไม่ปลอดภัย ต้องพัฒนาต่อไปถึงความรักประเภทที่ 4 คือ รักมีแต่ให้”

“รักมีแต่ให้ เป็นความรักที่มาพร้อมกับปัญญา ความรักที่ 1-3 อิงอารมณ์คือความรู้สึกเป็นรากฐานที่สำคัญ แต่ความรักชนิดที่ 4 อิงปัญญาคือความรู้สว่างกระจ่างแจ้งในโลกและชีวิต ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จนมนุษย์สามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากมายาคติ คือสิ่งที่เป็นความลวงทุกชนิด เหมือนพอเมฆที่เคลื่อนออกไป ฟ้าก็เปิด ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่างในทิศทั้ง 4″

“ไม่มีอะไรอีกที่ เป็นความลับดำมืดหรือเคลือบแคลงสงสัยมัวเมา ความรักชนิด เช่นนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาที่จะหยั่งรู้ ถึงความจริงของโลกและชีวิตอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าเราเห็นเงิน เราก็รู้ว่าเงินเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราใช้เงินเสร็จแล้ว เราก็สามารถปล่อยวางมันได้ เราใช้เสื้อผ้าเสร็จแล้วเราก็สามารถถอดวางไว้ได้ เรามียศ เราใช้ยศเสร็จแล้วเราก็ไม่ยึดติดยศ เรามีทรัพย์สมบัติ เราก็บอกว่าสรรพสิ่งคือของใช้ไม่ใช่ของฉัน”

“พอเรามีความเข้าใจโลก และชีวิตตามความเป็นจริงอย่างนี้ ปัญญาของเราจะเป็นอิสระ พอปัญญาของเราเป็นอิสระแล้ว ทอดตาไปทางไหนใจเราก็กว้างขวาง หมดความยึดติดถือมั่น ทอดตาไปทางไหนก็ไม่เห็นใครว่าเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือเปลือกของความเป็นมนุษย์ที่เราสมมติขึ้นมาเองทั้งหมด ทอดตาไปทางไหนคุณก็จะเห็นแต่มนุษยชาติกระจายอยู่ ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขากับเราแตกต่างกันเพียงเปลือกผิวภายนอก แต่โดยเนื้อหาสาระก็คือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่ามนุษยชาติ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าคน นั่นคือความจริงสุดท้าย พอจิตของเราเป็นอิสระอย่างนี้แล้ว ความรู้สึกในเชิงแบ่งแยกหายไป ความรู้สึกในเชิงถือเขาถือเราหายไป ความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบหายไป ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่เสมอกันกับเรา และนั่นคือเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นพอๆ กับที่เรารักตัวเอง ความรักเช่นนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะนำความรักที่แท้มา นั่นคือความกรุณา รักแท้คือกรุณา”

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายต่อไปอีกว่า กรุณาก็คือความสงสารอันใหญ่หลวง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกเลย เพราะทอดตาไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็น พี่น้องท้องเดียวกันกับเราทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อปัญญาทำหน้าที่เปิดประตูหัวใจของเราแล้ว ธารน้ำแห่งความรักก็จะไหลหลั่งถั่งท้นออกมา ชโลมชาวโลกให้อยู่กันฉันพี่ฉันน้อง

“อุปมาให้เห็นง่ายๆ รักแท้คือกรุณา เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดลงผืนโลก โดยที่ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นน้ำก็ไหล เป็นจันทร์ก็ส่อง เป็นนกก็ร้องเพลง โดยไม่เคยถามว่าใครเคยเห็นความสำคัญของฉันหรือ โดยไม่เคยถามว่าฉันจะได้อะไรตอบแทนไหม ฉะนั้นวิวัฒนาการสูงสุดของความรักก็คือ รักแท้คือกรุณา เราต้องไปให้ถึงความรักชนิดเช่นนี้ จึงจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษยชาติจะต้องไปให้ถึง”

ถึง กระนั้น พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ก็นิยามความรักให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายว่า ความรัก คือการตระหนักรู้ในสัจธรรม แล้วเราสามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างสิ้นเชิง มีหัวใจที่บริสุทธิ์ หมดจด แล้วก็แผ่ความรักนั้นออกไปรักคนได้ทั้งโลก ความรักในทรรศนะของอาตมากล่าวอย่างสั้นที่สุดคือกรุณา คือจิตใจอันใหญ่หลวงที่สามารถรักคนได้ทั้งโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ รักแท้คือกรุณาจะมาหลังจากการผลิบานทางปัญญาเสมอไป ถ้าไม่ได้มาพร้อมปัญญาเป็นได้แค่มายาการณ์ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นได้แค่ความรู้สึก

“ฉะนั้นถ้าไปดูพระพักตร์ของพระพุทธรูป ทุกองค์ ยิ้มทุกองค์ ทำไมยิ้ม เพราะจิตท่านเบิกบานผ่องใส ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่ยิ้มให้กับคนทั้งโลก รักที่แท้จะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดใครไม่ลงเลย”

“ฉะนั้นพุทธศาสนานี้ จึงเป็นศาสนาแห่งความรัก เริ่มต้น พระพุทธเจ้าก็รักใน โพธิญาณ ใช้วันเวลาทั้งหมด 84,000 อสงไขย กำไร 100,000 กัลป์ ทุ่มเทปัจจัยลงไปในโพธิญาณ รักในการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไปถึงตาน้ำที่แท้ ตลอดเวลา 45 ปีหลังจากที่ตรัสรู้ เสด็จพุทธดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อหว่านโปรยพุทธธรรมอันเป็นเครื่องมือ ที่จะนำชาวโลกไปสู่ความรักที่แท้ และด้วยเหตุดังนั้น พระพุทธองค์จึงมีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระมหาการุณิโก แปลว่า พระผู้มีความรักที่แท้”

“เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก และเราชาวพุทธทุกคน เมื่อเข้าใจพุทธธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งที่สุด”