ไลฟ์สไตล์
จอมพล
เรื่องเล่าวันคริสต์มาส

ไลฟ์สไตล์ฉบับนี้ขออนุญาตนำเรื่องเล่าวันคริสต์มาสที่นำมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด มาเล่าต่อในไทยแอลเอเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอ่านและเข้ากับบรรยากาศคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงดังนี้

“เช้าวันคริสต์มาส แกะของขวัญจากลุงซานต้ากันแล้ว ได้เวลามาล้อมวงฟังเรื่องราวในวันคริสต์มาสกัน จากหนังสือวันสำคัญของโลกตะวันตก โดย วรวดี วงศ์สง่า เล่าว่า

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส เป็นวันสำคัญทางคริสต์ศาสนา เพราะเป็นวันประสูติของพระเยซูคริสต์ คำว่า Christmas มาจากคำว่า Christ"s Mass หรือวันฉลองการมาสู่โลกของพระคริสต์นั่นเอง

-กำเนิดพระเยซู

ตาม ความเชื่อดั้งเดิมเล่าว่า นานมาแล้ว ณ เมืองนาซาเรธ (Nazareth) ประเทศอิสราเอล หญิงสาวผู้หนึ่งชื่อมารี มีคู่หมั้นชื่อโจเซฟ ได้รับการบอกข่าวจากเทวดาว่านางได้รับเลือกให้เป็นพระมารดาของบุตรแห่งพระ ผู้เป็นเจ้าที่จะมาถือกำเนิดบนโลกเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ พระกุมารจะลงมาจุติในครรภ์ของนางโดยที่นางยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ และเมื่อพระกุมารประสูติ นางต้องเรียกท่านว่าจีซัส (Jesus อาจออกเสียงว่าเยซู)

เมื่อมารีตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่แต่งงาน โจเซฟเกือบจะขอถอนหมั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเทวดามาส่งข่าวให้เขารับรู้เสียก่อนในนิมิตว่าทารกในครรภ์ของ มารีคือบุตรของพระเจ้า และมารียังเป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่ โจเซฟจึงยอมรับเป็นบิดามนุษย์ให้กับองค์พระกุมาร และแต่งงานกับมารีตามประเพณี

ในช่วงตั้งครรภ์แก่ โจเซฟต้องเดินทางกลับไปเสียภาษีที่เมืองเบธเลเฮม บ้านเกิดของเขา แต่พอไปถึง ห้องพักทุกแห่งเต็มหมด ทั้งสองได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนของโจเซฟให้พักในโรงนา ณ ที่นั่นเองที่พระกุมารทรงถือกำเนิดมาในคืนอันหนาวเหน็บและเงียบสงัด มารีห่อพระกุมารน้อยให้หลับอย่างอบอุ่นในรางหญ้าแทนเปล

ในคืนนั้น มีดวงดาวสุกปลั่งดวงใหม่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เป็นนิมิตว่า "ราชา" หรือผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ถือกำเนิดมาบนโลกแล้ว พระกุมารถูกตามล่าจากกษัตริย์ฮีร็อดที่สั่งให้สังหารทารกชายเพราะกลัวจะถูก ชิงบัลลังก์ โจเซฟได้รับการบอกข่าวจากเทวดาให้พาพระกุมารหนีไปอียิปต์ พระองค์จึงปลอดภัย และเดินทางกลับไปนาซาเรธในภายหลังเพื่อปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่คือการไถ่ บาปมวลมนุษย์ ก่อนเสด็จกลับคืนสู่สวรรค์หลังถูกทรมานจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

ต้นคริสต์มาส

ความ เขียวของต้นสนที่ไม่ยอมร่วงโรยราแม้ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ เปรียบเสมือนชัยชนะแห่งชีวิตเหนือความตาย ในตำนานเล่าขานถึงสนต้นแรกที่ถูกนำมาประดับประดาว่า นักบุญบอนิฟาสจากอังกฤษเดินทางมาเยอรมนีเพื่อเผยแพร่ศาสนา และได้โค่นต้นโอ๊กซึ่งถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเยอรมนี ทำให้ชาวบ้านโกรธเคือง ท่านจึงปลูกต้นสนเพื่อทดแทน และประกาศกับชาวเมืองว่านับแต่นี้ต้นสนจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาของคริ สตชนแทน ซึ่งบังเอิญว่าวันนั้นเป็นวันคริสต์มาสอีฟ ต้นสนที่มีใบเขียวชอุ่มจึงเป็นที่รู้จักในนามว่าต้นคริสต์มาสตั้งแต่นั้นมา

อีก ตำนานเล่าถึงมาร์ติน ลูเธอร์ ขณะเดินทางกลับบ้านท่ามกลางหิมะขาวในคืนอันหนาวเหน็บ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงดาวระยิบระยับงดงามราวแขวนตัวอยู่บนกิ่งฟ้า เขาเกิดศรัทธาจึงตัดสนต้นเล็กต้นหนึ่งแบกกลับบ้าน นำเทียนมาจุดประดับบนกิ่งให้สว่างไสว และอธิบายกับภรรยาและลูกว่าแสงเทียนเหล่านี้คือรัศมีแห่งพระผู้เป็นเจ้า

-สายรุ้งสีเงิน

นาน มาแล้วมีหญิงม่ายยากจนต้องการตกแต่งต้นคริสต์มาสเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกๆ แต่นางไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเทียนมาจุด จึงตัดเล็มกิ่งก้านของมันให้ได้รูปทรงสวยที่สุด ตกดึกแมงมุมมาชักใยเป็นสายระโยงระยางรอบต้นสนนั้น พอนางตื่นขึ้นมาก็พบว่าใยแมงมุมนั้นกลายเป็นสีเงินระยิบระยับสวยงาม จากนั้นมาผู้คนจึงพากันใช้สายรุ้งสีเงิน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งสีทอง แดง เขียว ฯลฯ ประดับประดาต้นคริสต์มาสให้สวยงามเพื่อรำลึกถึงหญิงม่ายยากจนนางนั้น

-ใบและลูกฮอลลี

ต้น ฮอลลี ซึ่งมีใบเป็นหนามแหลมและเขียวชอุ่มตลอดปี รวมทั้งมีผลเล็กๆ เป็นสีแดงสดกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส สีเขียวและแดงมีต้นกำเนิดมาจากเหตุผลทางคริสต์ศาสนา สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความไม่ตาย อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของพระเยซูซึ่งฟื้นคืนชีวิตและกลับคืนสู่สวรรค์ ส่วนสีแดงหมายถึงโลหิตแห่งความเสียสละของพระองค์ที่หยาดหยดลงบนผืนดิน ใบสีเขียวที่เป็นหนามแหลมของต้นฮอลลียังเป็นรูปลักษณ์ที่ทำให้ระลึกถึงมงกุฎ หนามแหลมที่ทหารโรมันนำมาสวมบนศีรษะให้พระเยซู เพื่อล้อเลียนท่านว่าเป็นมงกุฎของ "ราชาแห่งชาวยิว"

-ซานตา คลอส

ซาน ตา คลอส ตัวจริงในอดีตคือนักบุญนิโคลัส ซึ่งเป็นพระในตำแหน่งบิช็อปแห่งไมรา อยู่ในดินแดนเอเชีย ไมเนอร์ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่สี่ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในประเทศตุรกี ส่วนชื่อ "ซานตา คลอส" เป็นเพียงการออกเสียงแบบอังกฤษของชื่อจริงในภาษาดัตช์ของท่านคือ "Sinter Klass"

เรื่องราวของท่านไม่ปรากฏมากนัก ยกเว้นคุณสมบัติที่โดดเด่นอันหนึ่งคือความมีเมตตากรุณาต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก และความรักเด็กอย่างมหาศาล

-ซานต้ากับเลื่อนหิมะและกวางเรนเดียร์

ตอน ที่นักบุญนิโคลัส หรือซานตา คลอส ยังมีชีวิต ท่านไม่เคยเดินทางไปไหนๆ โดยเลื่อนหิมะที่มีกวางเรนเดียร์ลากให้ แต่ภาพของชายแก่แก้มยุ้ยพุงโตในชุดแดงที่เราคุ้นเคยเกิดขึ้นจากจินตนาการของ ชายคนหนึ่ง ชื่อ ดร.เคลเมนต์ คลาร์ก มัวร์ (1779-1863) ที่ต้องการทำวันคริสต์มาสให้เป็นวันที่สนุกสนานและน่าจดจำสำหรับลูกๆ โดยเขียนบทกวีชื่อว่า "การเยี่ยมเยียนของนักบุญนิโคลัส" เพื่ออ่านให้ลูกสาวสองคนฟังหน้าเตาผิง โดยจับเอาลักษณะใจดีมีเมตตาของนักบุญนิโคลัสตามตำนาน มาจินตนาการเป็นภาพซานตา คลอส ผู้ใจดี ในเสื้อผ้าขนสัตว์ แบกถุงของเล่นบนบ่ามาฝากเด็กๆ เป็นของขวัญ โดยปีนลงมาตรงปล่องไฟในคืนคริสต์มาสอีฟ

-รูดอล์ฟ เรนเดียร์น้อยจมูกแดง

ใน บทกวีของดร.มัวร์จินตนาการไว้เพียงว่าซานตา คลอสเดินทางด้วยเลื่อนหิมะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก ทุกตัวมีชื่อระบุชัดเจน ต่อมานายโรเบิร์ต เมย์ นักเขียนการ์ตูน วัย 35 ปี ได้รับมอบหมายงานให้สร้างตัวละครการ์ตูนตัวใหม่ เพื่อพิมพ์แจกเด็กๆ ในวันคริสต์มาส ด้วยสภาพชีวิตที่กำลังประสบปัญหา โรเบิร์ตจึงคิดสร้างตัวการ์ตูนที่ให้ความหวัง รูดอล์ฟ เจ้าเรนเดียร์น้อยจึงเกิดขึ้นมาอย่างแปลกแยกและโดดเดี่ยวในตอนแรก เพราะมีจมูกแดงไม่เหมือนเรนเดียร์อื่นๆ ที่จมูกดำ แถมจมูกของรูดอล์ฟยังเรืองแสงขึ้นทุกครั้งที่ตื่นเต้น ทำให้ไม่มีเรนเดียร์ตัวไหนอยากคบ

กระทั่งคืนวันก่อนคริสต์มาสในปี หนึ่ง เกิดมีหมอกลงจัดจนซานต้าไม่สามารถเดินทางด้วยเลื่อนหิมะไปแจกของขวัญเด็กๆ รอบโลกได้ตามกำหนด พอซานต้ารู้ว่ารูดอล์ฟมีจมูกเรืองแสง จึงขอให้มาช่วยลากเลื่อนโดยให้เป็นตัวนำฝูงเรนเดียร์ รูดอล์ฟจึงตกลง และด้วยจมูกที่เหมือนเป็นสปอตไลต์ตัดหมอกของรูดอล์ฟนี้เอง เด็กๆ ทั่วโลกจึงได้รับของขวัญจากซานต้า ปมด้อยในอดีตของรูดอล์ฟกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นำความหวังและความสุขกลับ คืนสู่ผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมิด

-ถุงเท้าหน้าเตาผิง

ในคืนวัน คริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้หน้าเตาผิง เพราะเชื่อว่าซานต้าจะปีนลงมาตามปล่องไฟ และเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้ พอตอนเช้า เด็กๆ จะรีบตื่นมาตรวจถุงเท้าของตัวเองว่ามีของขวัญจากซานต้าหรือไม่

ต้น กำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานหนึ่งของนักบุญนิโคลัส กล่าวกันว่าท่านมีน้องสาวสามคน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท (บ้างก็ว่าหญิงสาวสามคนนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน) หญิงสาวทั้งสามยากจนมากจนคิดขายตัว พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าวจึงคิดช่วยเหลือ คืนหนึ่งก่อนวันคริสต์มาสท่านจึงเดินทางกลับไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ ปรากฏว่าเหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลับกลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ สาวทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทองซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี

-จุมพิตใต้มิสเซิลโท

ใน เทศกาลคริสต์มาส หลายๆ บ้านจะนิยมนำมิสเซิลโท หรือต้นไม้จำพวกกาฝากที่ทำเป็นพวงหรีดเล็กๆ มาแขวนไว้หน้าประตูบ้าน เพราะตามประเพณีกล่าวกันว่าสาวคนใดที่ไปยืนอยู่ใต้มิสเซิลโทจะอนุญาตให้ หนุ่มทุกคนมาจูบเธอได้ แต่ในอดีตความหมายของมิสเซิลโทเกี่ยวโยงกับการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ ในสมัยก่อนคริสต์กาล พวกพระดรูอิดส์ถือว่ามิสเซิลโทเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และความที่มีสีเขียวตลอดปีแม้ในฤดูหนาว จึงเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติให้พลังทางเพศ และช่วยเตรียมความพร้อมในการสืบพันธุ์ให้ทั้งมนุษย์ สัตว์ และผืนแผ่นดิน

ในบางแห่งมิสเซิลโทเคยถูกนำมาใช้ประกอบพิธีเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินที่ใช้เพาะปลูกด้วย