ไลฟ์สไตล์
จอมพล
รักแม่

วันแม่ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง และก็เป็นประจำทุกปีที่ผู้เขียนจะนำบทความประทับใจ กระตุ้นเตือนลูกๆที่อาจจะลืมคนสำคัญที่สุดในชีวิตไป บทความที่คัดมาลงสองบทความนี้ เนื้อหากินใจ และหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ข้อคิดได้ทบทวนถึงตัวเองว่าได้ปฏิบัติต่อคนที่รักเราที่สุดคนนี้อย่างสมกับความรักและความห่วงใยที่ท่านมีให้เพียงพอหรือยัง

เรื่องที่หนึ่ง สักวัน..ฉันต้องแก่ (เหมือนกัน) เขียนโดย อ.ศกุนตลา บุนนาค มีความดังนี้

เช้าวันเสาร์ ยังไม่ทันตื่นนอนเลย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โทรศัพท์จากคุณแม่นั่นเอง

"วันนี้เที่ยง พาเด็กๆมากินสะเต๊ะบ้านแม่ดีไหม"

"แต่แม่ หนูรับปากพาเด็กๆไปกินร้านแม็คโดนัลแล้วล่ะแม่"

แต่คุณแม่ไม่ยอมแพ้ "ประหยัดเงินเถอะขับรถมาบ้านแม่เพียง 10 กว่านาทีเอง

ฉันรู้สึกอึกอัก เพราะรู้ดีว่าเด็กๆต้องอยากกินแฮมเบอเกอร์ มากกว่าสะเต๊ะแน่ และก็เป็นจริงตามนั้น พอเจ้าลูกชายคนโตและคนรองทราบว่าใครโทรมา และกำลังคุยเรื่องอะไร คนหนึ่งโบกมือไม่เอา อีกคนถึงขนาดพนมมือขอร้องว่าอย่าไปเลย ทุกคนต่างรอคอยที่จะไปกินอาหารมื้อเที่ยงนี้ ซึ่งกำหนดเพียงอาทิตย์ละครั้ง

ฉันจึงตอบแม่ไปว่า "รอพวกเราปรึกษากันก่อน แล้วค่อยโทรบอกแม่ดีไหมค่ะ" คุณแม่ตอบเศร้าๆว่า "อือแล้วแต่พวกเธอ"

พอวางหูโทรศัพท์ พวกเด็กๆชิงกันพูดว่า "แม่อย่าเบี้ยวนะ ก็ไหนตกลงกันว่าจะไปกินร้านแม็คโดนัลไง"

ฉันจึงบอกกับลูกๆว่า "คุณยายไม่ได้อยากให้เราไปกินสะเต๊ะหรอก เขาอยากพบหน้าพวกหนูต่างหาก"

"ก็พวกเราเพิ่งไปเยี่ยมคุณยายมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง"

ฉันทราบดีว่า เหตุผลเพียงแค่นี้ คงยากที่จะทำให้เด็กๆเปลี่ยนแปลงแผนการเดิมได้ จึงบอกกับพวกเขาว่า

"สักวัน แม่ก็คงแก่ คงจะโทรศัพท์มาหาพวกหนู บอกว่าวันนี้แม่ทำขนมเค้กไว้นะ พาลูกๆของหนูมากินได้ไหม ถ้าพวกหนูตอบว่า ขนมเค็กกินที่ไหนก็ได้ หรือวันนี้พวกหนูไม่ว่าง แม่คงเสียใจเหมือนกัน"

ลูกสาววัย 4 ขวบของฉันรีบตอบว่า "แม่หนูจะไม่ตอบอย่างนั้น หนูจะตอบตกลงว่ามาหาแม่"

ในที่สุดพวกเราก็ตกลงกันว่า เที่ยงนี้ไปกินแฮมเบอเกอร์ตามแผนเดิม แต่ตอนเย็นไปบ้านคุณยาย

พอคุณแม่ทราบ รู้สึกดีใจมาก "แล้วแม่จะย่างสะเต๊ะตอนบ่ายนะ"

ตอนเย็น ไปบ้านคุณยาย คนแก่ทั้งสองคนเห็นพวกเรา ดีใจออกหน้าออกตา พวกเราพากันกรูเข้าไปในครัวไปเอาสะเต๊ะ คนแก่กับพวกเด็กๆคุยกันเสียงขรม คุณแม่เริ่มบ่นเรื่องปวดไหล่ ที่ยังไม่ยอมหายสักที พอถามว่า "อ้าว แม่ไม่ได้ไปทำกายภาพ หรือไปอบสมุนไพรหรือ"

"ไปมาแล้ว แต่ก็งั้นๆแหละ" ถึงตอนนี้ฉันรู้ได้ทันทีว่า คุณแม่ไม่ได้ห่วงเรื่องสุขภาพหรอก แต่ต้องกรความสนใจจากฉันซึ่งเป็นลูกสาวต่างหาก

พอเข้าไปในครัว เห็นก้นกระทะมีน้ำมันจับอยู่หนา ทั้งๆที่คุณแม่เป็นคนเจ้าสะอาด พรางเริ่มตระหนักว่า คุณแม่คงเริ่มไม่มีแรงขัดก้นกระทะแล้ว

คุณแม่เคยมือหนึ่งอุ้มฉัน อีกมือผัดกับข้าว สองมือแม่เคยขัดบ้านได้ทุกซอกทุกมุม

คุณแม่เป็น โชเฟอร์ขับแท็กซี่หญิงเพียงไม่กี่คนของเมืองนี้ มือทั้งสองข้างเคยถือพวงมาลัยเลี้ยงพวกเรามา มาถึงวันนี้ มือของท่านคงอ่อนล้ามากแล้ว ยังอุตสาห์เสียบเนื้อสะเต๊ะ ผัดเส้นหมี่ แล้วโทรศัพท์เรียกพวกเรามากิน

หลังจากวันนั้น ต่อให้ยุ่งแสนยุ่ง เหนื่อยแสนเหนื่อยฉันก็ยังกลับมาเยี่ยมคุณแม่ ช่วยขัดก้นกระทะให้ท่าน และหวังว่า.....

สักวันหนึ่ง เมื่อฉันแก่ตัวลง มือไม้ไม่คล่องแคล่วเหมือนเก่า พวกลูกๆฉันยังจำได้ว่า จะกลับมาช่วยฉันขัดก้นกระทะบ้าง

อย่าเอาแต่สนใจลูกอย่างเดียว สักวันหนึ่งเราก็ต้องแก่

จำได้ว่า เคยเห็นจุลสารที่โรงพยายบาลแห่งหนึ่งเขียนไว้ว่า "ที่ลูก ฟันน้ำนมซี่แรกงอกเมื่อตอนเขาอายุหนึ่งขอบกับสี่เดือน

ยังจำได้ แต่ฟันซี่สุดท้ายของพ่อและแม่หักหมดปาก ดันจำไม่ได้"

อ้างอิง ... http://variety.teenee.com/saladharm/16285.html — with Hnui Prasert.


อีกเรื่องหนึ่งไม่ปรากฏผู้เขียนแต่นำมาจากเฟสบุ๊คในอินเตอร์เน็ท ขออภัยท่านผู้ประพันธ์ที่ไม่ทราบนามของท่าน เรื่องนี้มีชื่อว่า “เงิน 300 บาท เลี้ยงหัวใจแม่”

ทำไมต้องให้เงินพ่อแม่เดือนละ 300.- บาท?

ในเมื่อแม่ก็อยู่กับเราอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเราก็จ่ายให้ท่านตลอด


เรื่องเล่า..

ผมถามว่า "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"

อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่... ต้องค่าจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 300 บาท...

ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"

ผมเลยบอกว่า เงินเดือนที่ให้แม่ 300 ตัดได้นี่ครับ...อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้เรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 300 นี่ ตัดได้ครับ"

อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...300 บาทนี่ สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"

ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"... พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?!??

อาจารย์บอกต่อ “หัวใจต้องการอาหารที่มา หล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข...คุณลองนึกดู... คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น

ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ..ค่าอาหาร.. ซื้อข้าวสาร..มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน

แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว

พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปกราบแม่ บอกว่าวันนี้เงินเดือนออกครับ ผมนำเงินมาบูชาพระคุณแม่ 300 บาทครับ... เอาเงินใส่มือแม่ แม่ก็ให้ศีล ให้พร เอาเงินเก็บใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข


**************************************

300.-บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?

วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอด คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 300.-บาท แต่ก่อนทองคำบาทละ 400 ท่านกอดหลานชาย...สวมสร้อยให้พร้อมเป่าหัว

พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ ก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่

เพราะเงิน 300.- บาทนี่ เสกให้คนตาบอดขลัง ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?

ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดนี่... มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่

เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 300 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้

วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ย ทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆ คว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 30 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ขอบคุณค่ะ

วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ... วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?

เห็นไหมเงินเดือน 300 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้ มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้

ถ้าไม่มีเงินเดือน 300 บาทนี้ แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?


************************************

...บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 300 บาท... วันหนึ่ง พระมาเรี่ยไรจะสร้างโบสถ์ อาจารย์นิมนต์พระเข้ามา แล้วชี้มือบอกมรรคนายกว่า... ให้ไปเรี่ยไรกับคุณย่าโน่น

มรรคนายกบรรยายว่าจะสร้างโบสถ์ กว้างเท่านั้น ยาวเท่านี้ สูงเท่าไร สวยงามยัง ราคาเท่าไร

คุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 500 พนมมืออธิษฐาน ขอให้ศาสนายืนยงไปอีก 5 พันปี นิพพานปัจโยโหตุ... ทำบุญสร้างโบสถ์ไว้เป็นมิ่งขวัญในพระศาสนา

เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 300 ที่เราให้ เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือ แม่จะได้ทำบุญไหม?

พอพระให้พรเสร็จก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ยายแก่บ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน มรรคนายกตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างโบสถ์ไหมคุณยาย?

ยายข้างบ้านตอบ “ยายไม่มีเงินหรอก ยายอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนแม่

ยายแก่คนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ยายแก่คนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยงแปะๆ แมะๆ ไว้ข้างรั้วบ้าน เอาไว้คอยเก็บผ้า!

เป็นยังไงบ้างคะ... เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 300 บาท..."เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังคะ

วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?