ไลฟ์สไตล์
จอมพล
เรื่องของแม่

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ปีนี้ตรงกับวันแม่ของอเมริกา ผู้เขียนจึงนำบทความที่น่าอ่าน ที่น่าประทับใจเกี่ยวกับแม่มากฝากในบรรยากาศวันแม่ปีนี้ หวังว่าลูกที่ห่างไกลแม่เมื่อได้อ่านแล้วจะคิดถึงแม่ขึ้นมาบ้างครับ อย่างไรก็ตามเรื่องประทับใจที่คัดมาลงนี้นำมาจากอินเตอร์เน็ท จึงไม่ทราบชื่อผู้ประพันธ์ ต้องขออภัยมาณ.ที่นี้

กล่องข้าวที่หายไป...

ผมนำ “กล่องข้าว” ไปกินที่โรงเรียนครั้งแรกตอน ม.1 เหตุผลสำคัญจริงๆ ก็คือทำตามเพื่อน

ใน ชั้นเรียนนั้นมีเพื่อนนำอาหารมากินตอนพักเที่ยงกันกว่าครึ่งห้อง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีทั้งที่ใส่ปิ่นโต ใส่กล่อง และบางคนใส่ห่อมาก็มี เมื่อถึงเวลาพักก็เอามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันกิน ถามเพื่อนว่าทำไมเอาข้าวมากิน ส่วนใหญ่บอกว่าซื้อกินเองแพง ไม่มีเงินพอ บางคนบอกว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย กินของแม่อร่อยกว่า เลยนำอาหารที่บ้านมาเอง และบางคนเห็นเพื่อนกินข้าวกล่องกันเยอะๆ ดูแล้วสนุกดี แถมบางคนก็เป็นเพื่อนสนิท ไม่อยากจะแยกกัน ก็เลยเอามากินเป็นเพื่อนด้วย

ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลังนี้

ที่บ้านมีปิ่นโตอยู่แล้ว แต่ผมไม่สะดวกกับการหิ้วปิ่นโต เพราะบ้านอยู่ต่างอำเภอ ขณะที่โรงเรียนอยู่ในตัวจังหวัด ถ้าต้องหิ้วปิ่นโต และโหนรถสองแถวด้วยคงลำบาก แม่จึงซื้อกล่องข้าวอันใหม่ให้จำได้ว่าเป็นกล่องสีฟ้า ข้างในนอกจากมีพื้นที่ใส่ข้าวแล้วยังแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ใส่อาหารได้ถึง 3 ช่อง สำหรับบางคน การห่อข้าวเป็นความสะดวกและเรียบง่าย

แต่กับผมไม่ใช่เพราะที่บ้านปกติ จะซื้ออาหารสำเร็จมาทาน

เนื่องจากแม่ผมไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายด้วยโรคมากมายรุมเร้า ทั้งโรคหัวใจ โรคความดัน โรคอ้วน และไขมันในเส้นเลือดสูง

แต่ผมไม่อยากจะซื้อแกงถุงสำเร็จรูปเพราะธรรมเนียมของการกินข้าวกล่องที่โรงเรียน คือต้องเป็นอาหารที่ทำมาจากบ้าน มีการชื่นชมและอวดฝีมือของแม่ๆกัน ถ้าซื้อแกงไปก็เสียฟอร์ม

เมื่อผมบอกแม่ว่าอยากได้อาหารที่แม่ทำเองไปอวดให้เพื่อนเห็นฝีมือบ้าง ท่านก็ยิ้มรับคำ จากนั้นทุกเช้าแม่จะต้องฝืนสังขารลุกขึ้นมาหุงข้าวเตรียมอาหารให้

ปัญหาต่อมาคือ ตอนเด็กๆ ผมไม่กินผัก และไม่กินพวกไข่ต้ม ไข่เจียว แม่จึงต้องทอดไก่ ทอดเนื้อ หรือทำแกงต่างๆ ให้ ซื่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนต่างๆ นานพอสมควร แต่กระนั้น

ทุกเช้า “กล่องข้าวสีฟ้า” ของผม ก็ถูกเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยเสมอ

แต่แล้วกินข้าวกล่องอยู่ได้ไม่นานนักผลก็ล้มเลิกโครงการนี้ เพราะรู้สึกอึดอัดกับคำถามและสายตาของคนรอบข้างเพราะเริ่มเป็นวัยรุ่น จึงอายที่จะถูกมองว่าเป็นเด็กที่ห่อข้าวมากินเพราะความยากจน

เมื่อกลับมาบอกยกเลิกที่บ้าน โดยบอกเหตุผลว่าอายเพื่อนนั้น แทนที่แม่จะโล่งใจเพราะไม่ต้องเหนี่อยอีก ท่านกลับอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา และจากวันนั้นมา ผมก็ไม่สนใจอีกว่าแม่จะเก็บกล่องข้าวสีฟ้าไว้ที่ไหน

...แม่ตายตอนผมเรียน ม.6 ไม่ทันอยู่จนเห็นผมเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทำงาน และมีครอบครัว ตามที่ท่านอยากจะเห็น เราย้ายบ้านอีกหลายครั้ง ทั้งข้าวของและคนในครอบครัวเริ่มกระจัดกระจายพลัดพรากกันไป

ไม่ใช่แต่เพียงกล่องข้าวใบนั้นหรอกที่หายไป ความทรงจำหลายอย่างก็สลายสูญ ขณะที่ชีวิตของผมก็ต้องดำเนินต่อไป

...สองสามเดือนมานี้ ผมเริ่มทดลองที่นำอาหารจากบ้านใส่กล่องไปทานทำงานตอนพักเที่ยง แล้วก็ได้พบว่า นอกจากจะได้ทานอาหารแนวสุขภาพที่เราควบคุมได้เต็มที่เพราะทำเองแล้ว ยังสามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ค่อนข้างมีความจำเป็น

น่า แปลกที่การนำข้าวกล่องมากินครั้งนี้ผมไม่อายสายตาคนรอบข้างอีก หลังผ่านวันเวลาของชีวิต ผมเรียนรู้ว่า ถ้ากระทำในสิ่งที่มีเหตุผมพอ ก็ไม่ต้องเกรงว่าใครจะหมิ่นหยาม

ความหวั่นไหวมักจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเริ่มดูถูกตัวเองต่างหาก เช้าวันนี้ ผมมองดูภรรยาจัดเตรียมอาหารใส่กล่อง แค่ผัดผักบุ้งไฟแดงและปลาทูนึ่งสองตัวก็คงพออิ่มสำหรับมื้อเที่ยง ร่างเล็กๆนั้นเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งบริเวณครัวอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งๆที่เธอเองก็เพิ่งฟื้นไข้มาไม่นานนัก

ผมพลันหวนนึกถึงแม่ วูบขึ้นมา เห็นภาพหญิงอ้วนวัยกลางคน ซ้อนทับอยู่กับภาพหญิงสาวร่างเล็กเบื้องหน้า แล้วน้ำใสในดวงตาผมก็ท้นเอ่อออกมา... มองกล่องข้าวสีขาวเบื้องหน้า ผมพลันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า “กล่องข้าวสีฟ้า” ที่เคยคิดว่ามันหายไปแล้วนั้น แท้จริงมันไม่ได้หายไหนเลย เพียงแต่ผมค้นหามันพบช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง..

ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่าแม่

ค่ำวันหนึ่ง ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่ภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็คิดจะกลับบ้าน เพราะถึงเวลาควรกลับได้แล้ว

ผมเดินมาคนเดียวที่ลานจอดรถ ที่เปิดไฟสว่างไสว มีรถจอดเต็มไปหมด เพื่อจะขับรถกลับบ้าน

เมื่อเดินมาถึงรถ ก็ไขกุญแจเข้าไปในรถ ปรากฎว่ามีวัยรุ่น 3 คน ที่เดินตามมาห่างๆ โดยผมไม่เฉลียวใจว่า เขาจะมาดี หรือมาร้าย ปราดเข้าเอาปืนจี้ที่ศีรษะ และให้เข้าไปในรถ

ผมตกใจ ไม่กล้าร้อง เขาให้ผมเข้าไปในรถ โดยนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่คนขับ อีกคนนั่งที่เบาะหลัง โดยมีคนหนึ่งคอยเอาปืนจี้ผมตลอดเวลา วัยรุ่นคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับ ก็สตาร์ทรถ และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเปิดเพลงดังมาก หัวเราะพูดจากันเอะอะ โวยวาย สูบบุหรี่ควันโขมงไปหมด

ผมอยู่ในภาวะที่เครียดมาก พอหมดภาวะนั้นแล้ว ก็เริ่มมีสติ จึงขอบุหรี่เขาสูบมวนหนึ่ง เพื่อทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์

ผมอัดบุหรี่เข้าไปเต็มที่ แล้วจึงเริ่มคุยกับเขา ผมแสดงความจริงใจ โดยบอกเขาว่า ผมเป็นนักเรียน ไม่มีเงินมากหรอก ถ้าจะเอาเงิน ผมก็จะให้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ขอกระเป๋าเอกสารเอาไว้เถิด ว่าแล้วเงินก็ให้เขาไปจนหมด

ผมขอให้เขาเบาเสียงเพลงลงหน่อย เพราะดังมาก เขาก็ไม่ยอม ผมเลยชวนคุยเรื่องว่า เขาคงมีแฟน ไม่ไปหาแฟนหรือ เขาก็ตอบแบบกระชากๆว่าไม่สนใจหรอก มีแฟนกี่คนก็ได้ ตอนนี้ก็มีกันทุกคน แต่ไม่สำคัญหรอก

ผมก็ถามว่ามาเที่ยวดึกๆอย่างนี้พ่อไม่ว่าหรือ เหมือนนัดหมายกัน ทั้งสามคำรามใส่คำว่า พ่อ แถมพูดหยาบๆ และบอกว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อได้ไหม พวกเขาเกลียดพ่อ

ผมก็เลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องแม่ ถามเขาว่าแม่รักเขาไหม เขามีทีท่าอ่อนลง บอกว่าแม่รักเขา และตีพวกเขา

ผมได้ทีก็เลยชวนคุยเรื่องแม่ต่อไปอีก โดยบอกว่า เขาก็คงรักแม่เหมือนกับที่ผมรักแม่ และแม่ก็คงรักพวกเขาเหมือนกับที่แม่รักผม

ผมมาอเมริกาเพื่อศึกษา แม่ก็เป็นห่วง และคิดถึง ถ้าแม่รู้ว่าผมตกอยู่ในภาวะอันตรายหรือเป็นอะไรไป แม่คงจะโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก คงเหมือนกับแม่ของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าหากรู้ว่ามีอันตรายเกิดกับลูก แม่คงแทบสูญสิ้นชีวิต

พวกเขานั่งเงียบ และเบาเสียงวิทยุลง ผมเลยขอร้องเขาว่า อย่าทำอันตรายอะไรผมเลย ให้นึกถึงความรู้สึกของแม่ ซึ่งถ้าหากรู้ว่า ลูกได้รับอันตรายแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าหากเขาอยากได้รถก็เอาไปเถิด อยากได้เงินก็ให้เงินไปแล้ว แต่อย่าทำอันตรายผมเลย ผมได้ยินเสียงกริ๊กจากปืนที่คนนั่งข้างหลังจ้องอยู่ คงเป็นการปลดกระสุนปืนออก แล้วก็ยื่นปืนให้ผมพร้อมกับยื่นมือให้ผมจับ

เขาบอกว่า จากวันนี้ไป เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ ผมก็จับมือเขา แล้วเราทุกคนก็หัวเราะพร้อมๆกัน คนหนึ่งบอกว่าอยากดื่มเบียร์ เขาก็จอดรถ ซื้อเบียร์กระป๋อง มาดื่มกันในรถที่ขับไป

สุดท้ายเขาจอดรถในที่ใกล้ๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บอกเขาจะไปกันละนะ เขาไม่เอารถหรอก จะคืนรถให้

ขอให้ผมโชคดีในการเรียน จะได้กลับบ้านไปพบแม่ที่ผมรัก ซึ่งเขาก็รักแม่ของเขา และเขาก็จะไปหาแม่ของเขาเช่นกัน พอเขาลงจากรถ ผมก็ขับรถกลับบ้านที่พัก ด้วยความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

สิ้นปีนั้น ผมก็ย้ายเมืองไปอยู่นิวยอร์ก เมื่อจบการศึกษาด้านกุมารเวช และเริ่มเรียนทางด้านจิตเวชต่อไปอีก

ประสบการณ์นี้ผมไม่เคยลืมเลือน คิดว่าตัวเองรอดชีวิต ไม่มีอันตรายมาได้ ด้วยคำว่า "แม่" นี่เอง

เรื่องนี้ก็ไม่เคยเล่าให้แม่ฟัง ปีนี้เป็นปีที่แม่ของผม (ทองอยู่ นาควัชระ) ได้รับเกียรติรับเลือกเป็นแม่ดีเด่นของชาติ แม่คงจะรู้เรื่องจากนิตยสารนี้แหละ จะได้รู้ คำว่า "แม่" นั้นศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองชีวิตลูกได้

และอยากให้ลูกทุกๆคน รักแม่ ให้แม่รักลูก เพราะเป็นสายใยอันเดียวที่จะทำให้มนุษย์อุ่นใจ ปลอดภัย และเป็นมงคลกับชีวิต


เมื่อแม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต
1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว"
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา"
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม

3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็กๆ น้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน "แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หลับ"
ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจให้ผม มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"
นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม

5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้างๆ บ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว

6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้งๆ ที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคืนให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"
แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6

7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า.. ผม ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมที่อเมริกา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"
ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม

8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ.. ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ "ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว"
นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม

แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง