ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ก่อนเชื่อยาสมุนไพร

ผู้เขียนนั้นมีโรคประจำตัวคือเป็นผู้มีความดันโลหิตสูง คุณหมอบังคับให้ทานยาลดความดัน ซึ่งมีผลข้างเคียงคือทำให้มีอาการระคายคอและไอเรื้อรัง เมื่อทราบว่าที่ตนเองไอไม่หายก็เป็นเพราะยาลดความดันโลหิต ผู้เขียนจึงหยุดทานยาและหันไปหายาสมุนไพรแทน เริ่มทำการค้นคว้าด้วยตนเองว่าสมุนไพรอะไรลดความดันโลหิตได้ เช่นรับประทานอบเชย (Cinnamon) ผงหนึ่งช้อนชาทุกวัน หรือทานกระเทียมสด ทานใบกระเพรา ทานกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น สรรหามารับประทาน แล้วก็ไปพบคุณหมออีก ปรากฏว่าวันที่ไปพบคุณหมอนั้นความดันขึ้นสูงถึง 190 กับ 120 คุณหมอตกใจและถามว่าทานยาที่ให้ไปหรือเปล่า ผู้เขียนจึงบอกว่ายามีผลข้างเคียงจึงหยุดยาและทานสมุนไพรแทน ได้ความแค่นั้นคุณหมอจึงดุอย่างแรงว่าทำอะไรไม่มีความคิด คุณอาจจะเป็น สโตรคได้ แล้วเธอก็สั่งให้ผู้เขียนกินยาเดี๋ยวนี้และไม่ให้ไปไหนให้อยู่รอดูอาการจนกว่าความดันจะลดลงเป็นปรกติ ผู้เขียนก็แย้งว่าไม่เป็นไรต้องรีบไปประชุม นั่งรอเวลาไม่ได้ คุณหมอโกรธมากให้ผู้เขียนเซ็นชื่อลงในกระดาษว่าถ้าตายไปจะไม่มาฟ้องร้องเพราะได้เตือนแล้วไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล

เธอไม่ได้ให้ผู้เขียนเซ็นชื่อจริงๆแต่ขู่ให้กลัว แล้วไม่ยอมให้ผู้เขียนกลับ แต่ให้ไปพบกับเภสัชกร ที่เป็นอาจารย์หมอเพื่อเปลี่ยนยาให้ได้ผลข้างเคียงน้อยที่สุด ซึ่งหลังจากได้รับการเปลี่ยนยาแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีอาการข้างเคียงอีก และความดันก็เป็นปรกติดี ที่เคยมีอาการจุกบริเวณหน้าอกบ่อยๆก็หายไป

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เป็นเพราะว่า ในโลกโซเชียลเน็ทเวิร์คมีผู้ที่นำบทความที่เกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยแพทย์ทางเลือกมาลงมาก จริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วแชร์กันไปเผยแพร่กันไป บางคนเชื่อก็หยุดยาที่หมอแผนปัจจุบันให้แล้วเปลี่ยนไปกินยาสมุนไพรแทน ซึ่งส่วนมากแล้วก็ไม่ได้ผลและเกิดผลร้ายตามมา จนอาการที่เคยดีขึ้นกลับทรุดลงและมีโอกาสเสียชีวิตในที่สุด

ที่เล่ามานี้ไม่ใช่ว่าเชื่อการแพทย์ตะวันตกตะพึดตะพือ แต่การแพทย์ตะวันตกนั้นได้รับการทดลองผ่านการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน กว่าจะทำมาเป็นยาขายได้ ต้องแน่ใจว่าไม่มีผลร้าย หรือถ้ามีก็ต้องมีการเตือนผู้บริโภค ยาแผนตะวันตกนั้นมีผลแน่นอน เช่นถ้าฉีดยาสลบนี้ผู้ป่วยจะสลบภายในห้านาที ฉีดคนหนึ่งร้อยคน ทั้งหนึ่งร้อยคนก็สลบไม่มีใครไม่สลบ แต่ยาสมุนไพรไม่เหมือนกัน เช่นถ้ากินกระเพราะ ๒๐ ใบความดันจะลดภายใน ๒๐ นาที ซึ่งไม่เป็นความจริง คนกินกระเพราหนึ่งร้อยคน อาจจะมีสักสิบคนที่ความดันลดที่เหลือไม่ลดก็เป็นได้ นี่คือข้อแตกต่างของยาแผนปัจจุบันกับยาแผนโบราณ

ล่าสุดนี้ผู้เขียนเห็นแชร์กันเหลือเกินเรื่องทุเรียนน้ำรักษาโรคมะเร็ง ได้คัดนำมาให้อ่านดังต่อไปนี้ แต่ขอให้ท่านอ่านให้จบจนหมดอย่ารีบด่วนเชื่อ เพราะผู้เขียนได้ผนวกข้อเขียนของคุณหมอผู้ได้พบผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพราะบริโภคทุเรียนน้ำแทนยาแผนปัจจุบันในตอนท้ายของเรื่องดังนี้

“ทุเรียนน้ำนั้น แม้ว่าจะมีสรรพคุณมากมาย แต่สรรพคุณเด่นที่โด่งดังที่สุดของทุเรียนน้ำก็คือความสามารถในการรักษาโรคมะเร็ง ฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างได้ผลและไม่เป็นอันตราย โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารแอนโนนาเชียส เอคโทจีเนียส (Annonaceous acetogenins) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในทุเรียนน้ำ และสามารถต้านทำลายเซลล์มะเร็งทุกชนิด รวมไปถึงการฆ่าแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผลชะงัด

อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้มีผลการรับรองจากห้องทดลองหลายแห่งรวมทั้งสถาบัน มะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุเรียนน้ำนั้นสามารถช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ถึง 12 ชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แถมมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ยังได้ยืนยันอีกว่าฤทธิ์ของทุเรียนน้ำใน การฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น มีฤทธิ์มากกว่าการทำเคมีบำบัดถึง 10,000 เท่า โดยไม่ส่งผลร้ายต่อเซลล์เนื้อเยื่อดีอื่น ๆ ในร่างกายของคนไข้ แถมในรายที่เกิดอาการดื้อยามะเร็ง ก็ยังส่ามารถใช้สารสกัดจากมะเร็งน้ำมาช่วยให้คนไข้หายจากการอาการดื้อยาได้ อีกด้วย

โดยสถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้

โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตาม ธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด

ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง

รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา

เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้

วิธีใช้ทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ รักษามะเร็ง

สำหรับการใช้ทุเรียนน้ำเพื่อรักษามะเร็งให้ได้ผลนั้น มีข้อมูลระบุว่า ให้นำใบแห้งจากกระบวนการอบแห้งด้วยการเป่าลมร้อน (Air Dry) มาชงเป็นชาดื่ม โดยมีวิธีในการชงชาจากใบทุเรียนน้ำ ดังนี้

ฉีกใบแห้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร

นำใบทุเรียนเทศไปต้มกับน้ำ และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที

ใช้ดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร

โดยให้ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก 1 สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ

ข้อควรระวังในการรับประทานทุเรียนน้ำ ทุเรียนเทศ

อย่าง ไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่ข้อมูลที่ยืนยันสรรพคุณดี ๆ ของทุเรียนเทศเท่านั้น เพราะยังมีงานวิจัยอีกไม่น้อยที่ระบุว่า ทุเรียนเทศอาจเป็นพิษต่อร่างกาย และมีข้อควรระวังหากจะใช้คือ

1. งานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียน แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารแอนโนนาซิน (Annonacin) ซึ่งมีความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน และมีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการทรับประทานผล ราก หรือน้ำผลไม้ที่ทำจากทุเรียนน้ำมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน

2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น การทานในรูปแบบของยาอัดเม็ดหรือผลบรรจุแคปซูลนั้นจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ เลยทั้งสิ้น

3. การทานทุเรียนน้ำให้ได้ประโยชน์นั้น ควรจะต้องรับประทานแบบธรรมชาติ หรือรับประทานสด ๆ เท่านั้น ควร เลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง หรือใบชาบดผ่านกระดาษกรอง เพราะกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำลดลง

4. การรักษามะเร็งให้ได้ผลจะต้องนำใบ หน่อ และกิ่ง ของต้นทุเรียนน้ำ มาต้มทำเป็นชา ขณะ ที่การนำผลของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชานั้นไม่ได้ให้ผลใด ๆ ในการรักษามะเร็ง เนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งอยู่น้อย

อย่างไรก็ตาม การใช้ทุเรียนเทศมารักษามะเร็งนั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมให้มากขึ้นต่อไปอีก เพราะแม้จะมีงานวิจัยระบุว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่ก็มีข้อมูลการวิจัยส่วนหนึ่งพบว่า สารแอนโนนาซินที่มีอยู่ในพืชชนิดนี้มีพิษต่อเซลล์ประสาท

นอกจากนี้ในรายงานการวิจัยของประเทศกานา ยังพบว่า หนูทดลองที่ได้รับสารสกัดใบทุเรียนเทศในปริมาณสูงมีผลต่อการทำงานของไต ดังนั้นการนำสมุนไพรทุเรียนเทศมาใช้บำบัดโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัยยังต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยต่าง ๆ อีกมากมาย

ขณะที่ทางการไทยยังไม่ได้รับรองในเรื่องนี้ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กำลังเร่งศึกษาวิจัย เพื่อหาคำตอบที่แน่ชัดว่า ทุเรียนเทศ เป็นสมุนไพรพิฆาตมะเร็งได้จริงหรือไม่ ดังนั้นพินิจพิจารณาให้รอบคอบ หากคิดจะนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้เอง”

ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าบทความที่เพิ่งได้อ่านไปนี้ดูน่าเชื่อถือ และตามประสาคนไทยที่ฮือฮาเชื่ออะไรง่ายอยู่แล้วก็ไปทำกันเป็นแถว โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าย่อหน้าสุดท้ายเขาก็บอกว่ายังไม่มีการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และอาจจะมีผลเสียได้

ต่อไปนี้เป็นเฟซบุ๊คของคุณหมอ อ่านแล้วจะตกใจมีความดังนี้

“เฟซ บุ๊คของ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา โพสต์ข้อความระบุว่า แพทย์จุฬาฯ พบคนไข้มะเร็งไทยตายเพราะตับและไตวาย ก่อนที่จะตายเพราะมะเร็ง เหตุหลงเชื่อทุเรียนเทศแก้มะเร็ง ย้ำต่างประเทศศาลลงโทษคนขายแล้ว ไทยคงมีเร็วๆนี้

ความเชื่อผิดๆ "ทุเรียนเทศ" ฆ่าคนไข้ได้ หลังสังคมโซเชียล แพร่ข่าว ทุเรียนเทศแก้มะเร็ง ซึ่งเป็นแค่ผลการทดลองในหลอดแก้ว ยังไม่มีรายงานใช้ในคนไข้จริงๆ ทำให้ไม่ทราบผลว่าจะฆ่ามะเร็งในตัวคนได้หรือไม่ แถมผลข้างเคียงต่อตับไตอันตราย พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯกว่า 40 % กินใบทุเรียนเทศ จนทำให้ตับและไตวายเฉียบพลันไปแล้วกว่า 10 ราย ผลคือหมอต้องเลิกให้ยารักษามะเร็งและหยุดรักษา ไปแก้ตับไตวาย หลายรายไม่รอด ที่น่า อนาจใจคือคนไข้จบชีวิต เพราะ "ทุเรียนเทศ"ไม่ใช่เพราะ "มะเร็ง"

นพ.เพชร อลิสานันท์ หน่วยรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา แผนกรังสีวิทยา รพ.จุฬา เผยว่า "ทุเรียนเทศ" เป็นพืชที่พบได้ในภูมิภาคป่าฝน เช่น แอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีชื่อที่หลากหลายในแต่ละภูมิภาค ในหลายๆ พื้นที่ได้ใช้พืชชนิดนี้รักษาโรคติดเชื้อ และในหลายประเทศก็มี "ความเชื่อ" ว่าใช้รักษามะเร็งได้ โดยที่ไม่มีหลักฐานหรือผลงานวิจัยในคนรองรับ งานวิจัยของทะเรียนเทศถูกทำขึ้นในหลอดทดลองเพื่อดูปฏิกริยาระหว่าง สารสกัดใบ ทุเรียนเทศกับเซลล์มะเร็ง ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งเต้านมบางชนิด ซึ่งการพัฒนายามาใช้เพื่อรักษาโรคจำเป็นต้องผ่านการทดลองในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และในมนุษย์อีกหลายขั้นตอนเพื่อประเมินประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว ก่อนจะนำมาใช้ในมนุษย์อย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งต้องใช้เวลา สรุปว่าหลักฐานทางการทดลองของทุกเรียนเทศจึงอยู่ในระดับต่ำและไม่ปลอดภัยที่ จะนำมาใช้รักษามะเร็งเวลานี้ เนื่องจากในใบทุเรียนเทศไม่ได้ประกอบไปด้วยสารที่อาจจะมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ มะเร็งเท่านั้น ยังประกอบไปด้วยสารอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิดที่การแพทย์ยังไม่ทราบว่ามีผลอย่างไรต่อสุขภาพโดยผลทำให้ คนไข้ตายไปแล้วหลายราย

คนไข้ที่ทาน"ทุเรียนเทศ" ยังมีผลเกิดการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ คล้ายกับผู้ป่วยโรค Parkinson เนื่องจากทุกเรียนเทศเป็นพิษต่อระบบประสาท ซึ่งบางงานวิจัยพบว่าพิษจากทุเรียนเทศ สามารถผ่านชั้นเยื่อหุ้มสมองเข้าสู่เนื้อสมองโดยตรงได้อีกด้วย และการรับประทานต่อเนื่องทำให้ตับและไตวายได้ ถึงเสียชีวิตในที่สุด”

ฉะนั้นผู้เขียนจึงวิงวอนมาด้วยความปรารถนาดีให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญานและอย่าเชื่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทง่ายๆ ยิ่งโลกโซเชียลด้วยแล้วอย่าเชื่อดีที่สุด หากต้องการทดลองควรปรึกษาคุณหมอประจำตัวเสียก่อนจะดีที่สุดครับ

ภาพที่เห็นแชร์กันในโลกเน็ทเวิร์คเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เชื่อไม่ได้ แถมยังบอกให้แชร์กันต่อ แล้วจะได้บุญหรือว่าได้บาปกันแน่ คุณลุงที่เห็นนั่งอยู่นั้นแกเชื่อถือได้แค่ไหน กินเอาอร่อยก็พอแล้วกระมังครับ