ผู้เขียนเพิ่งสอบผ่านซิติเซ่นอเมริกันไปหยกๆ ยังไม่ได้เข้าพิธีสาบานตนเลยเสียด้วยซ้ำ จะเรียกว่าเป็นอเมริกันเต็มตัวก็คงยังไม่ได้ และไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ดิบได้ดีจากการได้มาเป็นคนอเมริกัน
ผู้เขียนนั้นหากจะสอบซิติเซ่นก็คงทำได้มาหลายปีแล้ว แต่ที่ยังชักช้าก็เพราะไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องเป็นคนอเมริกัน เพราะเลือดในตัวยังเป็นไทย และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน ยังรักเมืองไทย เทิดทูนในหลวง และเกลียดนักคนที่แหยมหน้ามาล้มสถาบัน จนอยากจะตบด้วยสันมือให้หายสันดานเสียเสียให้เข็ด
แต่ผู้เขียนก็อยู่อเมริกามานาน จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ได้เห็นความผันแปรและความเป็นไปของประเทศที่มองจากภายนอกว่าเป็นมหาอำนาจ และเป็นประเทศที่เอื้อโอกาสให้แก่ผู้อพยพอย่างเท่าเทียมกับเจ้าของประเทศ
เมื่อได้ตัดสินใจว่าจะสอบซิติเซ่น นั่นก็คงเป็นเพราะเกิดความรู้สึกว่า ก็ในเมื่ออยู่ประเทศนี้ จ่ายภาษีให้ประเทศนี้ แล้วทำไมเล่าจึงไม่มีสิทธิมีเสียงที่จะเลือกผู้นำให้มาทำงานในสิ่งที่เราเชื่อมั่น และเราศรัทธา
นี่เองจึงทำให้ตัวเองต้องยอมจ่ายเงินหกร้อยกว่าเหรียญ แล้วก็มานั่งอ่านประวัติศาสตร์อเมริกันอยู่เป็นวรรคเป็นเวร
ความจริงคำถาม ๑๐๐ ข้อที่เขาถามนั้นก็ไม่ยากเย็นอะไร ผู้เขียนอ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ก็เลยไม่เป็นปัญหา แต่ที่ได้ยินมาว่ายากเย็นแสนเข็ญและน่าหวาดกลัวนั้นก็คงเป็นเพราะผู้ใหญ่ท่านที่ไม่ชำนาญภาษาอังกฤษ เรื่องการฟังคำถามคำตอบและต้องอ่านต้องเขียนด้วยนั้น เป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์ที่ต้องมาเริ่มกันใหม่หมด อย่างนี้ก็น่าเห็นใจ
เมื่อผู้เขียนเดินออกมาจากตึกทำการรัฐบาลกลาง ในมือถือใบ Congratulation แสดงความยินดีที่ได้ผ่านเป็นพลเมืองอเมริกันอย่างเต็มตัวนั้น ท้องฟ้าแอลเอก็เปลี่ยนไป อากาศที่หายใจก็อบอุ่นกว่าที่เคย ไม่ได้เวอร์ แต่รู้สึกจริงๆ
ไม่ใช่ความรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองอเมริกัน แต่รู้สึกตรงกันข้ามว่าเป็นภาระที่ต้องช่วยเหลือประเทศนี้ เพราะนี่เป็นประเทศของเราแล้วเช่นเดียวกัน หาใช่คนอาศัยอีกต่อไปไม่
อย่างที่กล่าวแล้วว่า ผู้เขียนนั้นต้องการเป็นซิติเซ่นก็เพียงเพื่อให้ได้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งกับเขาเช่นกัน หากท่านติดตามงานเขียนของผู้เขียนท่านจะพบว่าผู้เขียนเป็นเดโมเครติคเต็มตัว ไม่โอนเอนไปทางอื่น
ผู้เขียนกลัวเหลือเกินที่จะเห็นรีพลับบลิกันกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง ผู้เขียนไม่อยากเห็นอเมริกาต้องตกอยู่ในอำนาจของกลุ่มนายทุน บริษัทน้ำมัน บริษัทขายยา และประกันภัยที่เอาแต่ขูดเลือดขูดเนื้อคนยากจนเพื่อเอาเข้ากระเป๋าคนร่ำรวย ผู้เขียนไม่อยากเห็นผู้หญิงไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าเธอต้องการลูกของเธอหรือไม่ ผู้เขียนไม่อยากเห็นคนสองคนที่รักกันแต่ไม่มีโอกาสจะได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องเพียงเพราะว่าพวกเขามีเพศเดียวกัน ผู้เขียนไม่อยากเห็นการเพิ่มภาษีคนจนไปตัดภาษีคนรวย ผู้เขียนไม่อยากให้บ้านที่อยู่ที่กำลังพยายามทำโลนโมดิฟิเคชั่นตามโอบามาแพลนต้องถูกยกเลิกไปเพราะเปลี่ยนรัฐบาล และที่สำคัญที่สุดผู้เขียนไม่อยากให้ประเทศนี้ลืมคนยากไร้ คนด้อยโอกาส และคนอย่างเรา คือพวกที่เข้ามาอาศัยใบบุญประเทศเขาอยู่ ให้ได้มีอนาคตเทียบเทียมกับประชาชนของเขา มีประเทศไหนในโลกที่ยอมให้เราเป็นได้อย่างอเมริกา
ฉะนั้นเมื่อมานั่งฟังปาฐกถาที่จัดขึ้นที่เรียกว่า DNC Speech 2012 ซึ่งย่อมาจาก Democratic National Convention อันเป็นการนอมิเนท หมายความว่าเสนอชื่อประธานาธิบดีโอบามาขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจากหมดวาระ ๔ ปีที่ผ่านมา โดยมีบุคคลสำคัญๆที่ขึ้นพูดหลายท่านด้วยกัน
ผู้เขียนได้ฟังและประทับใจ จะเล่าให้ฟังว่าฟังไปน้ำตาไหลไปกับเขาด้วย ไม่ได้ดัดจริต จนถึงกับเก็บเอามาลงและแปลให้ท่านได้อ่าน ทั้งสองท่านนี้คือปาฐกถาของ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่เสนอชื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา และ มิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
ประธานาธิบดีบิล คลินตันพูดไว้อย่างน่าประทับใจเหลือเกิน ผู้เขียนได้คัดบางตอนมาลงดังนี้
ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ขึ้นมากล่าวและกล่าวอย่างความเป็นผู้หญิง เป็นภรรยา เป็นแม่ของลูก และเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา คือ มิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ที่ฟังแล้วขนลุก
น้ำตาคลอ ด้วยพลังและยอมรับว่าเธอเป็นนักพูดที่ดีมากคนหนึ่ง คัดตอนจบมาโดยย่อดังนี้
Because today, I know from experience that if I truly want to leave a better world for my daughters, and all our sons and daughters...if we want to give all our children a foundation for their dreams and opportunities worthy of their promise...if we want to give them that sense of limitless possibility – that belief that here in America, there is always something better out there if you're willing to work for it...then we must work like never before...and we must once again come together and stand together for the man we can trust to keep moving this great country forward...my husband, our President, President Barack Obama.ฟังแล้วก็อดภูมิใจในตัวเธอไม่ได้ ด้วยความเป็นนักพูดที่หาที่ติไม่ได้ และไม่ได้อ่านโพยเลยแม้แต่น้อย เหลือบมองไปทางประเทศประเทศหนึ่งที่มีผู้นำเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่หาอะไรเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พาไปที่ไหนก็รังแต่จะขายหน้าไปทั่วโลก อนิจจา... เอาเถิด
ถึงตอนนี้ผู้เขียนเพียงขอภาวนาให้ตัวเองนั้นได้สาบานตนก่อนที่การเลือกตั้งมาถึง เพื่อใช้เสียงกระจอกหนึ่งเสียงของตนเองสร้างฝันและอนาคตของอเมริกาให้รุ่งโรจน์ และไม่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเงาปีศาจของพรรคการเมืองทุนนิยมให้กลับเข้ามาสร้างความรุ่มรวยและความเก่าเก็บดักดานแบบก่อนๆอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
เรื่องของการเมืองเป็นเรื่องอัตตนิยม หากท่านผู้อ่านเป็นริพลับบลิกัน ก็อย่าถือโกรธผู้เขียนเลย ผู้เขียนกำลังทำหน้าที่พลเมืองอเมริกันอยู่ เพราะหนึ่งในหน้าที่ของคนอเมริกันนั้นคือ Support the political Party นั่นเอง น่าหมั่นไส้ไหมเล่า