ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ข้อคิดเรื่องความรู้และความซื่อสัตย์

บรรยากาศทางการเมืองกำลังร้อนแรง เรียกว่าช่วงนี้ไม่สามารถติดตามข่าวสารบ้านเมืองได้เลย เพราะสถานีวิทยุโทรทัศน์ถูกสั่งระงับการออกอากาศ จะได้เรื่องราวบ้างก็ต้องอ่านตามโซเชียลเนตเวิร์คว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร พักนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะเขียนหนังสือ เฝ้าแต่คอยติดตามข่าวบ้านเราด้วยความเป็นห่วง อยากให้เหตุการณ์กลับสู่ปกติไวๆ ไลฟ์สไตล์ฉบับนี้จึงนำเรื่องน่าอ่านและให้ความคิดดีๆมาให้อ่านกันไปพลางๆในระหว่างที่ใจจดใจจ่อกับประเทศไทยว่าจะลงเอยอย่างไร

เรื่องที่นำมาลงนี้หวังว่าคงให้แง่คิดกับท่านผู้อ่านบ้าง อย่างน้อยก็พักสมองเรื่องการเมืองสักหน่อยดังนี้

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป

เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”

นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี

ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่ม เจริญเติบโต แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง

ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว

ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป

ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่” ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้

เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ

เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคุณจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”

พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก

เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม

ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”

จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม” “ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”

คติธรรม ที่ได้ …

เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ

เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ

เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่

เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ

เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี

ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้.

เรื่องต่อไปก็น่าสนใจ คุณเคยเป็นเช่นนักศึกษาคนนี้หรือไม่

นักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำกระฉอกเป็นระลอก

เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ เมื่อเรือเข้าสู่กระแสน้ำเชี่ยว คนแจวเรือจึงต้องตั้งอกตั้งใจแจวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มใหญ่ ในที่สุดนักศึกษาก็ละสายตาจากตำราเงยหน้ามองมาที่คนแจวเรือ

"ลุงเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์บ้างไหม?" นักศึกษาถามขึ้น

"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือจ้างตอบเบาๆ

"งั้นลุงก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในอดีต เรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เรารู้ว่าคนในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่งกายแบบไหน ประวัติศาสตร์จะบอกให้ทราบถึงความเจริญของชนชาติต่างๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?"

"ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ" คนแจวเรือตอบ

คนแจวเรือก็แจวเรือต่อไป นักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น ผ่านไปสักครู่ นักศึกษาก็ถามคนแจวเรือขึ้นอีก

"ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?"

"ไม่เคยเลยครับ"

"ภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่สอนให้เรารู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน ภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าศึกษามาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?"

"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือตอบ

นักศึกษาส่ายหน้า" ไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงไม่มีค่าอะไรเลย"

"วิทยาศาสตร์ล่ะลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า"

"ไม่เคยอีกแหละคุณ"

"ลุงเป็นคนยังไงกันหือ? วิทยาศาสตร์ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรง นักวิทยาศาสตร์เป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งในโลกปัจจุบัน แต่ทว่าลุงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเหลือเกิน"

นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่ยอมพูดจาอีก ขณะนั้นเมฆดำได้แผ่ขยายเต็มท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ พายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะถึงฝั่ง คนแจวเรือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

"ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?"

นักศึกษาพูดอย่างตกใจกลัว

"ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง"

บัดนี้ คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างแปลกใจบ้าง และพูดว่า

"อะไรกัน คุณว่ายน้ำไม่เป็น คุณรอบรู้ออกมากมาย ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์คุณก็ออกคล่อง แต่ทำไมไม่เรียนว่ายน้ำด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวเถอะ คุณจะรู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย"

อย่าได้เที่ยวไปมองคนอื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่ำต้อยกว่าเรา ควรหันมามองตัวเองว่า จิตใจเรานั้นต่ำต้อยกว่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า?

ได้ข้อคิดกันไปแล้ว กลับไปติดตามสถานการณ์บ้านเมืองกันต่อ ขอภาวนาให้เหตุการณ์สงบลงเร็วๆด้วยเถิด