ไลฟ์สไตล์
จอมพล
ยักษ์สุวรรณภูมิ
ไมยราพณ์

หลังกลับมาจากเยือนเมืองไทย ก็ได้ใช้สนามบินสุวรรณภูมิ จริงแล้วก็ผ่านมาหลายครั้งเพียงแต่ไม่ได้เขียนถึงเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมานี้สนามบินสุวรรณภูมิได้ปรับปรุงให้สะดวกสบายและงดงามมากขึ้น ถ้าจะพูดไปอย่างไม่มีอคติแล้ว สนามบินสุวรรณภูมิตอนนี้ก็นับว่าสวยงามใหญ่โตและสะดวกสบายมากเมื่อเทียบกับนานาประเทศ ผู้เขียนนั้นไม่ได้เดินทางเป็นประจำ เพียงแต่ผ่านสนามบินนานาชาติไม่กี่แห่ง เช่นสนามบินนาริตะ สนามบินไทเป สนามบินฮ่องกง หรือสนามบิน LAX ของเรานี้ ก็พอจะบอกได้ว่าสนามบินสุวรรณภูมิดีที่สุดในบรรดาสนามบินที่ไปใช้บริการมา ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นความน่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของคนไทย

เมื่อเร็วๆนี้มีเพื่อนชาวเฟสบุ๊ค ได้โพสถึงยักษ์สุวรรณภูมิ เธอโพสเล่นๆว่าไปสนามบินบ่อยจนได้ทักทายพูดคุยกับท่านไมยราพณ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องขำๆแซวกันเล่นตามประสาชาวเฟสบุ๊ค สำคัญตรงที่ว่าเธอโพสไว้ว่าที่ฐานของยักษ์นั้นมีเพียงชื่อของยักษ์ ซึ่งจำลองมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อันเป็นพญายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนถึง ๑๒ ตน แต่ไม่มีประวัติของยักษ์ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะรามเกียรติ์นั้นเป็นวรรณคดีไทยที่เกี่ยวข้องกับศิลปและวัฒนธรรมไทยมาเป็นเวลาช้านาน แต่เอาเข้าจริงคนไทยกลับไม่รู้และไม่ใคร่ใส่ใจว่าทำไมรามเกียรติ์จึงผูกพันธ์กับสังคมไทยทั้งๆที่ต้นกำเนิดของรามเกียรติ์นั้นมาจากศาสนาฮินดู และไม่เกี่ยวข้องอย่างใดกับศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติแต่อย่างใด การที่สนามบินสุวรรณภูมิเลือกเอาประติมากรรมพญายักษ์ทั้ง ๑๒ ตนมาตั้งไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงดูจะแปลกไปจากการเป็นเมืองพุทธอยู่อย่างน่าสงสัย อย่างไรก็ตามการนี้มีคำตอบ

เมื่อผู้เขียนได้อ่านข้อความของเธอ รวมทั้งเห็นภาพยักษ์ที่เธอโพสลงซึ่งเป็น ไมยราพณ์ ก็ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยและได้ค้นหาข้อมูล ซึ่งน่าสนใจทีเดียว จึงได้นำมาลงไว้เป็นความรู้ดังนี้คือ


พญายักษ์สุวรรณภูมิมี ๑๒ ตนและมีประวัติดังนี้

ทศกัณฐ์ คงไม่ต้องบอกมาก ทศกัณฐ์เป็นโอรสของท้าวลัสเตียน และพระนางรัชฎาต่อมาได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกา มีสิบหน้า ยี่สิบมือ ชาติก่อนเป็นยักษ์ชื่อนนทก ที่ถูกพระนารายณ์สังหารและสาปให้มาเกิดบนโลกมนุษย์ ถอดดวงใจฝากไว้กับฤๅษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ จึงไม่มีใครสามารถสังหารได้ ในเวลาต่อมา ได้ไปชิงนางสีดามาจากพระราม จึงเกิดมหาสงครามขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ได้ถูกพระรามแผลงศรไปปักอก และถูกหนุมานขยี้กล่องดวงใจ จึงสิ้นชีพในที่สุด

มังกรกัณฐ์ เป็นโอรสของพญาขร น้องชายของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์ได้เรียกมาช่วยให้มารบขัดตาทัพในช่วงที่อินทรชิตไปทำพิธีชุบศรนาคบาศ โดยทศกัณฐ์ได้ให้จักรแก้วที่อินทรชิตชิงมาจากพระอินทร์ให้มังกรกัณฐ์ไปเป็น อาวุธด้วย มังกรกัณฐ์ใช้แผนการแยกร่างออกนับร้อยนับพัน แต่สุดท้ายก็ถูกพระรามสังหารหมด

จักรวรรดิ เป็นกษัตริย์ครองกรุงมลิวัน เป็นสหายคนสุดท้ายของทศกัณฐ์ หลังจากที่รู้ข่าวจาก ไพนาสุริยวงศ์ โอรสองค์เล็กของทศกัณฐ์ว่าทศกัณฐ์ถูกพระรามสังหาร โดยมีพิเภกป็นไส้ศึก จึงได้ยกทัพมาบุกกรุงลงกา และจับท้าวทศคิริวงษ์ หรือ พิเภกไปขังไว้ ก่อนจะสถาปนาไพนาสุริยวงศ์เป็นท้าวทศพิน กษัตริย์องค์ใหม่แห่งกรุงลงกา ต่อมา พระรามได้สั่งให้ พระพรตและพระสัตรุด ยกทัพไปช่วยพิเภกและปราบท้าวจักรวรรดิ เมื่อช่วยพิเภกได้แล้ว พระพรตก็ยกทัพต่อไปยังกรุงมลิวัน ท้าวจักรวรรดิได้ออกรบ และถูกพระพรตสังหารในที่สุด

อินทรชิต เป็นโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ เดิมชื่อรณพักตร์ แต่ต่อมา สามารถรบชนะพระอินทร์ได้ ทศกัณฐ์จึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นอินทรชิต แปลว่า ผู้ชนะพระอินทร์ มีนางสุวรรณกันยุมาเป็นชายา และมีโอรสชื่อยามลิวัน กับ กันยุเวก เคยได้รับพรจากพระพรหมให้สามารถแปลงกายเป็นพระอินทร์ได้ ซึ่งอินทรชิตเคยนำเอาความสามารถนี้มาใช้ในการศึก จนสามารถแผลงศรพรหมาสตร์ไปถูกพระลักษมณ์ได้ ท้ายที่สุด ถูกพระลักษมณ์แผลงศรไปตัดเศียรขาดกลางอากาศ และองคตได้ไปนำเอาพานแว่นฟ้าของพระพรหมมารองรับเศียรไว้ได้ เพราะอินทรชิตเคยได้รับพรจากพระพรหมอีกข้อว่า หากเศียรขาดตกถึงพื้น จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ลุกท่วมโลก ต้องนำพานแว่นฟ้าของพระองค์มารองรับเท่านั้น

สหัส เดชะ กษัตริย์ครองกรุงปางตาล เป็นสหายกับทศกัณฐ์ มีพันหน้า สองพันมือ เมื่อครั้งที่ มูลพลัม ผู้เป็นน้องชาย ถูกทศกัณฐ์เรียกตัวไปช่วยรบ สหัสเดชะก็ได้ติดตามไปด้วย เมื่อทราบว่ามูลพลัมถูกพระลักษมณ์สังหารแล้ว ก็เร่งยกทัพไปแก้แค้น แต่หนุมานก็แปลงกายเป็นทหารวานรชื่อ สังขะ มาดักไว้ ทำทีมาขอสวามิภักดิ์ด้วย เมื่อสบโอกาส หนุมานได้นำเอาตะบองต้นชี้ตายปลายชี้เป็น ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของสหัสเดชะมาทำลาย ก่อนจะคืนร่างเดิม และเข้าต่อสู้กับสหัสเดชะ ก่อนจะสังหารสหัสเดชะได้ในที่สุด

ไมยราพณ์ หรือ ไมยราพ เป็นโอรสของท้าวมหายมยักษ์ และพระนางจันทรประภา มีพี่สาวชื่อพิรากวน ซึ่งก่อนที่ท้าวมหายมยักษ์จะสิ้นพระชนม์ ได้ั่สั่งห้ามไมยราพ ไม่ให้ไปคบกับทศกัณฐ์ซึ่งมีใจพาล แต่เมื่อทศกัณฐ์มาชวนไปรบ ไมยราพก็ไปช่วยเพราะเกรงอำนาจของทศกัณฐ์ โดยไมยราพได้เป่ายาสะกดทัพพระรามให้หลับใหล และชิงตัวพระรามไปยังเมืองบาดาลเพื่อจะต้มกิน แต่หนุมานก็ตามลงไปช่วยขึ้นมาได้ หนุมานสังหารไมยราพด้วยการฆ่าแมลงภู่ที่บินอยู่รอบเขาตรีกูฏอันเป็นที่เก็บ หัวใจของไมยราพ

สุริยาภพ เป็นโอรสองค์โตของท้าวจักรวรรดิ มีหอกเมฆพัทเป็นอาวุธ สุริยาภพได้ซัดหอกเมฆพัทไปปักพระสัตรุด แต่พิเภกก็แนะนำตัวยาที่จะใช้รักษาพิษหอกเมฆพัท พระพรตจึงสั่งให้นิลพัทไปนำตัวยาทั้งหมดมา และในการศึกครั้งต่อมา พระพรตก็สังหารสุริยาภพได้

อัศกรรณมารา ครองเมืองดุรัม เป็นสหายของทศกัณฐ์ และได้ขอทศคีรีวัน ทศคีรีธร โอรสแฝดของทศกัณฐ์ไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทราบว่าทศกัณฐ์ ทศคีรีวัน และทศคีรีธรถูกสังหารแล้ว ก็ยกทัพมาดักพระรามในขณะที่จะเสด็จกลับกรุงอโยธยา พระรามได้แผลงศรไปตัดตัวท้าวอัศกรรณจนขาดเป็นสองท่อน แต่ท้าวอัศกรรณกลับเพิ่มเป็นสองตน ยิ่งแผลงศรใส่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนมีท้าวอัศกรรณมารานับพันตน พิเภกจึงแนะนำวิธีสังหาร คือให้แผลงศรตัดตัวท้าวอัศกรรณให้ขาดครึ่งท่อนและกวาดร่างทั้งหมดลงน้ำ พระรามจึงแผลงศรไปตัดตัวท้าวอัศกรรณจนขาดครึ่งท่อน ส่วนพระลักษมณ์แผลงศรเป็นลมพัดเอาร่างทั้งหมดของท้าวอัศกรรณลงน้ำ ท้าวอัศกรรณจึงสิ้นชีพในที่สุด

วิรุญจำบัง เป็นโอรสของพญาทูษณ์ น้องชายของทศกัณฐ์ มีโอรสชื่อ วิรุญมุข ถูกเรียกตัวมารบพร้อมกับท้าวสัทธาสูร เมื่อท้าวสัทธาสูรถูกสังหารในสนามรบ วิรุญจำบังได้ไปหลบในฟองน้ำในทะเลสีทันดร แต่หนุมานก็ตามไปสังหารได้

วิรุฬหก เป็นยักษ์ที่จะมาเข้าเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส เจ็ดครั้งต่อปี ซึ่งวิรุฬหกจะกราบขั้นบันได้ขึ้นเขาไกรลาสทุกขั้นด้วยความจงรักภักดี แต่ได้มีตุ๊กแกตัวหนึ่งชื่อ สรภู คอยแต่จะหัวเราะขำขันในการกระทำของวิรุฬหก เมื่อขึ้นไปถึงที่ประทับ ปรากฏว่า พระอิศวรยังไม่ทรงตื่นบรรทม ทำให้ถูกตุ๊กแกสรภูหัวเราะหนักขึ้นไปอีก ด้วยความแค้นใจ ทำให้วิรุฬหกซัดสร้อยสังวาลนาคเข้าใส่สรภูจนตายคาที่ แรงกระเทือนทำให้เขาไกรลาสทรุดเอียง ซึ่งต่อมา พระอิศวรได้มีรับสั่งให้ทศกัณฐ์มาดันเขาไกรลาสให้ตรงเหมือนเดิม

ทศ คีรีวัน และ ทศคีรีธร เป็นโอรสแฝดของทศกัณฐ์กับนางช้าง ซึ่งต่อมา ท้าวอัศกรรณได้ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทั้งสองโตเป็นหนุ่ม ได้กลับมาเยี่ยมทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา เมื่อทราบว่าทศกัณฐ์กำลังทำศึกกับพระราม จึงได้ขอเข้าร่วมรบด้วย และถูกพระลักษมณ์สังหารทั้งคู่

ทศกัณฐ์

ในครั้งแรกพญายักษ์ทั้ง ๑๒ ตนนี้ได้ถูกจัดวางไว้ในบริเวณผู้โดยสารขาออก แต่ในปี ๒๕๒๒ ท่าอากาศยานได้จัดพิธีบวงสรวงและย้ายยักษ์ไปอยู่บริเวณผู้โดยสารขาเข้า โดยให้ความเห็นว่า ยักษ์ตั้งอยู่บริเวณผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารกำลังเร่งรีบจึงไม่มีโอกาสได้ชมความงามของยักษ์ บริเวณผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารมีเวลามากในการรอเครื่องบินจึงจะได้เห็นประติมากรรมอันงดงามของไทยได้มาก อย่างไรก็ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าการย้ายยักษ์เป็นการย้ายฮวงจุ้ยเพราะยักษ์ทั้งหมดเป็นพญายักษ์ นำไปตั้งไว้ในที่ๆคับแคบและไม่มีสง่าทำให้เกิดอาถรรพ์ ในช่วงนั้นสนามบินสุวรรณภูมิก็มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ทั้งด้านตัวอาคารการใช้งานและการบริการ จึงเหมาเอาว่าเป็นเพราะตั้งยักษ์ผิดที่นั้นเองจึงทำให้เกิดอาถรรพ์ขึ้น ก็ว่ากันไปตามประสาคนไทย

ที่ผู้เขียนได้นำเรื่องยักษ์สุวรรณภูมินี้มาเขียนไม่ได้ต้องการจะกล่าวถึงเรื่องอาถรรพ์ของยักษ์แต่อยากจะออกความเห็นเรื่องที่ว่าทำไมยักษ์ในรามเกียรติ์จึงมาเกี่ยวข้องกับศิลปกรรมไทย และกลายมาเป็นเอกลักษณ์ไทยทั้งที่ไทยเป็นเมืองพุทธ เราจะเห็นได้ว่าวัดหรือวังของไทยนั้นมักจะสร้างงานวิจิตรศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์เป็นหลัก

ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเด็จขาดอยู่เหนือกฏหมาย การปกครองเช่นนี้เป็นการปกครองที่ได้รับอิทธิพลมาจากขอมซึ่งนับถือศาสนาฮินดู อันศาสนาฮินดูนั้นนับถือเทพเจ้าสามพระองค์ด้วยกันคือ พระพรหม ผู้สร้าง พระนารายณ์ ผู้รักษา และพระศิวะ ผู้ทำลาย อันตรงกันกับคติทางพุทธคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันศาสนาฮินดูนั้นแบ่งชนชั้นออกเป็น๔ วรรณะด้วยกันคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร จะไม่มีการแต่งงานข้ามวรรณะ และมีกฏเกณฑ์ของคนที่เกิดในวรรณะนั้นๆที่ต้องปฏิบัติตาม การนี้ผู้เขียนเข้าใจว่าเพื่อเป็นการปกครองนั่นเอง คนชั้นล่างคือชาวเกษตรกรรม (แพศย์) และคนกรรมกร (ศูทร) จะได้ไม่ลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของชนชั้นกษัตริย์ และการนี้ฮินดูได้ใช้เรื่องราวในพระเวทอันกล่าวถึงเรื่องราวของเทพเจ้าต่างๆ มาเป็นตัวกำหนดความเชื่อของประชาชนให้เกรงกลัวต่ออำนาจของพระเจ้า จะได้ไม่กล้าข้ามวรรณะและเป็นผลเสียต่อการปกครองของชนชั้นกษัตริย์และพราหมณ์

เมื่อศาสนาฮินดูตกต่ำลงหลังจากกำเนิดของศาสนาพุทธ ภายหลังจากสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ศาสนาพุทธก็สูญหายจากอินเดียไปหมด เนื่องด้วยกษัตริย์ผู้ปกครองภายหลังได้หันกลับไปนับถือศาสนาฮินดูอีก ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะต้องการอำนาจคืน ศาสนาพุทธนั้นเป็นอเทวนิยมคือไม่นับถือเทพเจ้า ฉะนั้นความนับถือในสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ย่อมคลอนแคลน แต่เนื่องจากประชาชนยังนับถือพุทธศาสนาอยู่ จึงต้องนำพุทธศาสนามาเชื่อมกับศาสนาฮินดู ดังนั้นจึงมีการแต่งพระคัมภีร์และกล่าวว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงเป็นพระนารายณ์อวตารมาช่วยมนุษย์ปางหนึ่งเท่านั้น

ในเรื่องของพระนารายณ์อวตารมาช่วยมนุษย์นั้น ได้รับการนับถือช่วงหนึ่งอย่างมากในสมัยขอมซึ่งรับอารยธรรมโดยตรงมาจากอินเดีย คือเรียกว่า ไศยวะนิกาย การสร้างปราสาทหินในสมัยขอมจึงมักสลักเรื่องราวของพระนารายณ์อวตารไว้

ครั้นอยุธยาเรืองอำนาจ พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นสมมุติเทพ คือพระนารายณ์มาจุติเพื่อปกครองมนุษย์ จึงนำเรื่องพระนารายณ์อวตารมาผูกโยงเข้ากับศาสนาพุทธนั่นเอง ดังนั้นตราประจำพระองค์จึงเป็นครุฑทั้งนี้ก็เพราะครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์นั่นเอง

รามเกียรติ์ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของพระนารายณ์อวตารจึงเชื่อมโยงผูกพันธ์กับสถาปัตยกรรมไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธาเป็นต้นมา แม้แต่ในวัดซึ่งเป็นพุทธก็ยังมีการนำวิจิตรศิลป์ในเรื่องราวของรามเกียรติ์มาประดับไว้ โดยเฉพาะถ้าเป็นวัดที่กษัตริย์สร้างนั่นเอง

เมื่อเข้าใจที่มาของบรรดาพญายักษ์ทั้งหลายที่มาจากเรื่องรามเกียรติ์แล้ว ก็มาถึงการถกเถียงกันอีกว่า ทำไมจึงเลือกรูปยักษ์มาประดับไว้ที่สนามบิน เพราะบรรดายักษ์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายอธรรมทั้งสิ้น ความจริงถ้าศึกษาเรื่องของพระนารายณ์ให้ดีจะเห็นได้ว่า ยักษ์นั้นไม่ใช่เป็นฝ่ายอธรรมเสียหมด เทวดานั่นเองที่บางครั้งก็ทำผิดและขี้โกง จะเห็นได้จากพิธีกวนเกษียรสมุทร ซึ่งเทวดาหลอกให้ยักษ์เมาแล้วฝ่ายตนเองก็ชิงน้ำอำมฤตมาทั้งๆที่สัญญาว่าจะแบ่งกัน ถ้ากวนเกษียรสมุทรสำเร็จ ยักษ์บางตนในเรื่องรามเกียรติ์ จะว่าไปก็เกือบทั้ง ๑๑ ตนที่จริงๆแล้วอยู่ของเขาดีๆ แต่ทศกัณฑ์ซึ่งเป็นพญายักษ์ใหญ่และเป็นญาติเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นพ่อเป็นลุง ได้มาใช้ไหว้วานให้ไปรบกับพระรามพระลักษณ์และหนุมานจนถูกฆ่าตายหมดทั้ง ๑๒ ตน ก็ไม่ได้ทำความผิดอะไร เพียงแต่จะช่วยทำสงครามเท่านั้น ฉะนั้นจะไปหาว่ายักษ์รามเกียรตินั้นเป็นฝ่ายอธรรมเสียหมดก็คงไม่จริง

ท้าวเวชสุวรรณของจีน

อันที่จริงแล้วเรื่องของการใช้ยักษ์เฝ้าประตูวัดนั้น คติโบราณน่าจะมาจากยักษ์ที่เป็นเทวดารักษาจตุโลกบาลทั้งสี่คือ ท้าวเวชสุวรรณ หรือเรียกอีกอย่างว่าท้าวกุเวร จีนเรียกว่า “ตัวเหวินเทียนหวัง” ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน

ท้าวกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวรรณนั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ยอีกด้วย กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือมีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียน ในภายหลังภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ยเป็นที่เคารพ นับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์เป็นที่เคารพนับถือ ว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ

อย่างไรก็ตามท้าวกุเวรนี้ท่านเป็นจ้าวของภูติผีปีศาจ รวมทั้งยักษ์ทั้งหลาย จึงไม่น่าจะแปลกที่พญายักษ์รามเกียรติ์ก็คงจะถูกท่านสั่งมาให้เฝ้าวัด ป้องกันภูติผีปีศาจไม่ให้มารังควานความสงบในวัดได้เช่นกัน

นี่เองกระมังจึงเป็นเหตุเป็นผลว่าทำไมสนามบินสุวรรณภูมิจึงมียักษ์มาเฝ้าเพื่อป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามาในเมืองไทยได้ ผู้เขียนเองเห็นว่าก็น่าจะจริงเพราะนักโทษหนีคดีก็กลับมาไม่ได้ คงเป็นเพราะยักษ์ไม่ให้เข้าสนามบินนั่นเอง