ไลฟ์สไตล์
จอมพล
คุณคงไม่รู้ว่ามันมีความหมายมากเพียงใด

เทศกาลขอบคุณพระเจ้ากำลังจะหมุนกลับมาอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ ถ้าใครติดตามงานเขียนของผู้เขียนมาตลอด จะทราบว่าผู้เขียนนั้นให้ความสำคัญกับวัน Thanks giving นี้มาก เพราะเห็นว่าเป็นวันสำคัญ ถึงแม้ว่าความหมายและงานเฉลิมฉลองแต่ก่อนนั้นจะเป็นเพียงการร่วมรับประทานอาหารกันในวันขอบคุณพระเจ้าภายในครอบครัว เพื่อรำลึกถึงพระเจ้าและพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่อำนวยชีวิตและประทานพรให้เรามีความสุข ในวันเวลาที่เปลี่ยนไปนั้น ความหมายของวันขอบคุณพระเจ้าก็กว้างมากขึ้น จากที่เป็นการขอบคุณพระเจ้า ก็เปลี่ยนเป็นการขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เรามีวันนี้ขึ้นมา ขอบคุณพ่อแม่ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ตลอดไปจนทุกคนและทุกสิ่งที่ทำให้เรามีวันนี้

การที่ความหมายของวันขอบคุณพระเจ้าได้แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ ก็เข้ากับสังคมในปัจจุบันที่มีคนมากมายที่ต่างชาติและศาสนาจะได้ร่วมฉลองวันแห่งความขอบคุณร่วมกัน ผู้เขียนเห็นว่าการรู้สึกขอบคุณเป็นความหมายที่สำคัญของมนุษย์ เรียกได้ว่าเป็นความกตัญญู อันเป็นคุณธรรมสำคัญที่เป็นคุณสมบัติของคนดี การที่เรารู้สึกขอบคุณ แสดงให้เห็นว่าเรานั้นเห็นคุณค่าเห็นบุญคุณของผู้ที่ให้สิ่งนั้นเรามา ผู้ที่ให้นั้นก็ไม่สำคัญว่าจะต้องเป็นบุคคลเสมอไป แผ่นดิน ท้องทะเล โลก ดวงดาว จักรวาล ก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนให้เราได้ดำรงอยู่ทั้งสิ้น การที่เราจะได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูดลมหายใจลึกๆ มองออกไปยังท้องฟ้าและหมู่เมฆ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณที่เรายังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไปอีกหนึ่งปี เรียนรู้ที่จะสำนึกในบุญคุณ ( Appreciate ) ในสิ่งที่เราได้มา และไม่ได้ยึดเป็นเจ้าของ แต่เรียนรู้ว่าสิ่งที่ได้มาก็ต้องเสียไปในวันหนึ่ง (Do Not Take It For Granted) เป็นการเตือนใจให้ตนไม่ยึดติด ถ่อมตนและนอบน้อมตนไม่เห็นแก่ตนเองเพราะรู้ว่าการเป็นตนเองได้นั้น อาศัยความช่วยเหลือจากทุกสรรพสิ่งรอบข้าง จึงเรียนรู้ที่จะรักและขอบคุณแก่ผู้อื่นที่ให้ชีวิตแก่เรา ทั้งมิตรและศัตรู ทั้งผู้ที่รักและผู้ที่เกลียด มิตรให้ความช่วยเหลือ ศัตรูให้ความเข้มแข็งอดทน คนรักให้กำลังใจ คนเกลียดให้รู้จักการให้อภัย ถ้าคิดให้ดี ทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือร้าย เราล้วนแล้วแต่ได้รับทั้งสิ้น

มีเรื่องราวดีๆที่ไทเลอร์ส่งมาให้อ่าน เมื่ออ่านจบผู้เขียนก็ขออนุญาตไทเลอร์แปลมาเป็นภาษาไทยให้คุณได้อ่าน ผู้เขียนคงเนื้อเรื่องฉบับภาษาอังกฤษเอาไว้ด้วย มีความรู้สึกว่าเมื่อแปลเป็นไทยแล้ว ไม่ได้ความรู้สึกอย่างภาษาอังกฤษ จึงแปลไทยควบไปกับภาษาอังกฤษ หากท่านผู้อ่านสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ ก็ไม่ต้องอ่านภาษาไทยแย่ๆที่ผู้เขียนแปล จะได้อรรถรสดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่า


When I was a young boy, my father had one of the first telephones in our neighbourhood.... I remember the polished, old case fastened to the wall. The shiny receiver hung on the side of the box. I was too little to reach the telephone, but used to listen with fascination when my mother talked to it. Then I discovered that somewhere inside the wonderful device lived an amazing person. Her name was "Information Please" and there was nothing she did not know. Information Please could supply anyone's number and the correct time.


เมื่อผมยังเล็กอยู่ พ่อของผมมีโทรศัพท์เป็นเครื่องแรกในแถวบ้านของเรา ผมยังจำได้ถึงโทรศัพท์แวววาวแบบโบราณที่ติดกับผนังแล้วที่วางหูเป็นเงาวับแขวนอยู่ข้างๆกล่องโทรศัพท์นั้น ผมยังเล็กมากเอื้อมไม่ถึงโทรศัพท์หรอก แต่ก็คอยฟังคุณแม่พูดกับมันด้วยความสนอกสนใจ แล้วนั่นก็ทำให้ผมพบว่ามีใครสักคนอยู่ข้างในเครื่องๆนั้น ใครคนนั้นมีชื่อว่า “ ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” แล้วก็ไม่มีอะไรที่เธอผู้นั้นจะไม่รู้ “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ”จะสามารถตอบได้เลยว่าใครเบอร์โทรศัพท์อะไรและก็รู้เวลาอย่างแม่นยำ


My personal experience with the genie-in-a-bottle came one day while my mother was visiting a neighbour. Amusing myself at the tool bench in the basement, I whacked my finger with a hammer, the pain was terrible, but there seemed no point in crying because there was no one home to give sympathy. I walked around the house sucking my throbbing finger, finally arriving at the stairway. The telephone! Quickly, I ran for the footstool in the parlour and dragged it to the landing. Climbing up, I unhooked the receiver in the parlour and held it to my ear. "Information, please" I said into the mouthpiece just above my head. A click or two and a small clear voice spoke into my ear.


ประสบการณ์ของผมกับเจ้าจีนี่ในขวด เกิดขึ้นในวันหนึ่งที่คุณแม่ไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน ในขณะที่ผมกับลังเล่นอยู่ม้านั่งที่ใส่เครื่องมือที่ชั้นล่าง ผมก็ทำค้อนพลาดตอกใส่นิ้วของตัวเอง มันเจ็บมาก แต่ดูเหมือนว่าไม่รู้จะร้องไห้ไปทำไมเพราะไม่มีใครที่อยู่บ้านจะคอยปลอบ ผมเดินไปรอบบ้านพลางดูดนิ้วที่บวมเป่งตอดตุบๆ จนกระทั่งเดินไปถึงบันได โทรศัพท์....ด้วยความรวดเร็ว ผมวิ่งไปยังม้าเตี้ยๆในห้องรับแขก ลากมันออกมาวาง ปีนขึ้นไป ดึงหูโทรศัพท์ออกและยกขึ้นมาแนบหู “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” ผมพูดไปยังกระบอกพูดที่อยู่เหนือหัว เสียงคลิ๊กครั้งสองครั้งและก็มีเสียงเล็กๆที่ชัดเจนพูดในหูของผม


"Information."

ข้อมูลค่ะ


"I hurt my finger..." I wailed into the phone, the tears came readily enough now that I had an audience.

ผมเจ็บนิ้วครับ ผมครวญครางในโทรศัพท์ น้ำตาไหลพร่างพรูทันทีที่รู้ว่ามีคนรับฟัง


"Isn't your mother home?" came the question.

"Nobody's home but me," I blubbered.

"Are you bleeding?" the voice asked.

"No," I replied. "I hit my finger with the hammer and it hurts."

"Can you open the icebox?" she asked. I said I could.

“คุณแม่ไม่อยู่บ้านหรือคะ” เสียงนั้นถามขึ้น

“ไม่มีใครอยู่บ้านครับมีแต่ผม” ผมสะอึกสะอื้น

“เลือดไหลรึเปล่าคะ” เสียงนั้นถามอีก

“ไม่ไหลครับ” ผมตอบ “ผมโดนค้อนตอกนิ้วตัวเอง เจ็บมากเลยครับ”

“เปิดตู้น้ำแข็งได้รึเปล่า” เธอถาม ผมตอบว่าผมเปิดได้


"Then chip off a little bit of ice and hold it to your finger," said the voice...

After that, I called "Information Please" for everything... I asked her for help with my geography, and she told me where Philadelphia was. She helped me with my math.

She told me my pet chipmunk that I had caught in the park just the day before, would eat fruit and nuts. Then, there was the time Petey, our pet canary, died.... I called,

Information Please, "and told her the sad story. She listened, and then said things grown-ups say to soothe a child. But I was not consoled. I asked her, "Why is it that birds should sing so beautifully and bring joy to all families, only to end up as a heap of feathers on the bottom of a cage?" She must have sensed my deep concern, for she said quietly, "Wayne , always remember that there are other worlds to sing in."

“ถ้าอย่างนั้นก็หยิบน้ำแข็งนิดหน่อยและวางไว้ที่นิ้วนะ” เสียงนั้นพูด

หลังจากนั้น ผมจะโทรฯ “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” ในทุกๆอย่าง ผมถามเธอเรื่องการบ้านภูมิศาสตร์ และเธอก็บอกผมว่าฟิลาเดเฟียนั้นอยู่ที่ไหน เธอช่วยผมทำการบ้านคณิตศาสตร์ เธอบอกผมว่ากระรอกที่ผมจับมาจากสวนสาธารณะที่ผมเอามาเลี้ยงไว้เมื่อวันก่อนนั้น กินผลไม้และถั่ว แล้วก็ตอนที่ “พีเต” เจ้านกสีเหลืองเสียงหวาน ถึงแก่ความตาย ผมก็โทรฯ “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” แล้วผมก็เล่าเรื่องเศร้าของผมให้เธอฟัง เธอฟังและก็พูดเหมือนกับผู้ใหญ่พูดปลอบโยนเด็ก แต่ว่าผมก็ยังคงไม่สบายใจ ผมถามเธอว่า “ทำไมเจ้านกที่ปกติจะร้องเพลงเพราะและก็นำความรื่นเริงมาให้ครอบครัวของเรา มีจุดจบเพียงแค่กองขนที่ก้นกรงล่ะครับ” เธอคงจะเข้าใจถึงความขมขื่นลึกๆของผม เธอจึงพูดเบาๆว่า “เวน จำไว้นะว่ามีโลกอื่นที่จะไปร้องเพลงอีกนะ”


Somehow I felt better. Another day I was on the telephone, "Information Please."

"Information," said in the now familiar voice. "How do I spell fix?" I asked.

All this took place in a small town in the Pacific Northwest. When I was nine years old, we moved across the country to Boston. I missed my friend very much.

"Information Please "belonged in that old wooden box back home and I somehow never thought of trying the shiny new phone that sat on the table in the hall. As I grew into my teens, the memories of those childhood conversations never really left me. Often, in moments of doubt and perplexity I would recall the serene sense of security I had then. I appreciated now how patient, understanding, and kind she was to have spent her time on a little boy.

บางทีผมก็รู้สึกดีๆ อย่างเช่นวันหนึ่งที่ผมพูดโทรศัพท์ “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” “ข้อมูลค่ะ” เสียงที่คุ้นเคยตอบมา “ผมจะสะกดคำว่า “Fix” ได้ยังไงครับ ผมถาม

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆในทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลแปซิฟิค เมื่อผมมีอายุได้เก้าขวบ ผมย้ายจากบ้านนอกไปยังบอสตัน ผมคิดถึงเพื่อนของผมมาก “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” อยู่ที่กล่องไม้เก่าๆที่บ้านหลังเดิม และผมนั้น คงจะลืมที่จะโทรเจ้าโทรศัพท์เงาวับที่อยู่บนโต๊ะในห้องโถงไปเสีย เมื่อผมโตขึ้นจนเป็นวัยรุ่น ความทรงจำในวัยเด็กไม่เคยลืมเลือน บ่อยครั้งในช่วงที่เกิดความสงสัยและงุนงง ผมจะนึกถึงความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ผมเคยได้ ผมรู้สึกขอบคุณในความอดทนและความพยายามที่จะเข้าใจ ความกรุณาที่เธอมีให้ต่อเด็กผู้ชายเล็ก ๆคนหนึ่ง


A few years later, on my way west to college, my plane put down in Seattle... I had about a half-hour or so between planes. I spent 15 minutes or so on the phone with my sister, who lived there now. Then without thinking what I was doing, I dialled my hometown operator and said, "Information Please." Miraculously, I heard the small, clear voice I knew so well.

สองสามปีต่อมา ผมย้ายไปยังตะวันตกเพื่อศึกษาต่อยังซีแอทเทิล ผมมีเวลาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงในระหว่างที่รอเครื่องบิน ผมโทรฯไปหาพี่สาวที่อยู่ที่นั่นประมาณ ๑๕ นาที จากนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจว่าผมทำอะไร ผมหมุนโทรศัพท์ไปยังโอเปอร์เรเตอร์ที่บ้านเกิด พร้อมกับพูดว่า “ขอข้อมูลหน่อยค่ะ” เหมือนปาฏิหาริย์ ผมได้ยินเสียงเล็กๆ ชัดเจนที่ผมคุ้นเคย


"Information." I hadn't planned this, but I heard myself saying,

"Could you please tell me how to spell fix?"

There was a long pause. Then came the 1soft spoken answer, "I guess your finger must have healed by now."

I laughed, "So it's really you," I said. "I wonder if you have any idea how much you meant to me during that time?"

“ข้อมูลค่ะ” ผมไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ก็ได้ยินตัวเองพูดว่า

“ช่วยสะกดคำว่า “fix” ให้หน่อยครับ

เสียงนั้นเงียบไปสักครู่ จากนั้นเสียงนุ่มๆก็ตอบว่า “ฉันคิดว่านิ้วของคุณคงจะหายดีแล้ว”

ผมหัวเราะ “นั่นไงเป็นคุณจริงๆด้วย” ผมพูด “ผมอยากจะให้คุณรู้ว่าคุณนั้นมีความหมายต่อผมมากแค่ไหนในเวลานั้น”


I wonder," she said, "if you know how much your calls meant to me. I never had any children and I used to look forward to your calls."

I told her how often I had thought of her over the years and I asked if I could call her again when I came back to visit my sister. "Please do", she said. "Just ask for Sally."

Three months later I was back in Seattle... A different voice answered,

"Information." I asked for Sally.

“ฉันก็อยากจะให้คุณรู้เหมือนกันว่าเมื่อคุณโทรฯมานั้นมีความหมายต่อฉันมากแค่ไหน ฉันไม่เคยมีลูกและฉันก็เฝ้ารอโทรศัพท์จากคุณ

ผมบอกเธอว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมคิดถึงเธอหลายปีมานี้ และผมก็ขอว่าผมจะโทรฯหาเธออีกเมื่อผมกลับจากไปเยี่ยมพี่สาวแล้ว “โทรฯมานะ” เธอบอก “แค่ขอพูดกับ แซลลี่”

สามเดือนหลังจากที่ผมกลับไปจากซีแอทเติล เสียงตอบรับต่างออกไป “ข้อมูลค่ะ” ผมถามหาแซลลี่


"Are you a friend?" she said.

"Yes, a very old friend," I answered.

"I'm sorry to have to tell you this,"She said. "Sally had been working part time the last few years because she was sick. She died five weeks ago." Before I could hang up, she said, "Wait a minute, did you say your name was Wayne?"

Yes." I answered.

“คุณเป็นเพื่อนเธอหรือคะ” เธอถาม

“ใช่ครับเป็นเพื่อนเก่า” ผมตอบ

“ฉันเสียใจที่จะต้องบอกคุณว่า” เธอตอบ “แซลลี่มาทำงานเป็นพาร์ทไทม์อยู่สองสามปีที่แล้วมานี้เพราะเธอป่วย เธอเสียชีวิตเมื่อห้าอาทิตย์ที่แล้ว ก่อนที่ผมจะวางหู เธอบอกว่า “เดี๋ยวนะคะ เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณชื่อเวนใช่ไหมคะ


"Well, Sally left a message for you. She wrote it down in case you called.

Let me read it to you." The note said, "Tell him there are other worlds to sing in.

He'll know what I mean." I thanked her and hung up. I knew what Sally meant.

Never underestimate the impression you may make on others...

Whose life have you touched today?

“ถ้าอย่างนั้นดีล่ะ แซลลี่ฝากข้อความถึงคุณ เธอเขียนเอาไว้ว่าเผื่อคุณจะโทรฯมา ฉันจะอ่านให้คุณฟังนะ เธอเขียนว่า “บอกเขาว่ามีโลกอื่นที่จะร้องเพลงอีก” เขาจะเข้าใจว่าฉันหมายความว่าอย่างไร ผมกล่าวขอบคุณเธอและวางหู ผมรู้ว่าแซลลี่หมายความว่าอย่างไร

อย่าประเมินค่าความประทับใจที่คุณได้เคยทำให้แก่คนอื่นๆต่ำไป

ชีวิตของใครที่คุณได้สัมผัสในวันนี้”

ในวันแห่งความขอบคุณ ขอบคุณที่ไม่ย่อท้อที่จะทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณก็ตาม มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่และมีความหมายมากต่อใครคนนั้น มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของเขา หรือทำให้เขาได้หลุดพ้นจากความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เพียงขอให้ทำต่อไป เพราะบางทีคุณคงไม่รู้ว่ามันมีความหมายมากต่อเขาเพียงใด

ขอบคุณครับ