ไลฟ์สไตล์
จอมพล
บูชายัญ

ข่าวใหญ่อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ที่ผ่านมานี้คือข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล ซึ่งมีความรุนแรงถึง ๗.๘ แมกนิจูด ซึ่งนับเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดของประเทศเนปาล และมีผู้เสียชีวิตกว่าห้าพันคน

อันภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้สร้างความเสียใจไม่ใช่แค่ชาวเนปาลแต่เป็นความเสียใจของคนทั้งโลกก็ว่าได้

อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้เห็นมีผู้ที่โพสท์ลงทางสื่อเน็ทเวิร์คเรื่องของเหตุสลดใจที่เกิดขึ้นในเนปาลเมื่อ ๕ เดือนก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหว คือที่เมืองปาริยะปุระ เขตชายแดนเนปาล ต่อกับอินเดีย ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านและที่ต่างๆที่นับถือเจ้าแม่กาธิมัย เทพเจ้าฮินดู ได้หลั่งไหลกันมากว่า ๒ ล้านคน จากประชากรประเทศเนปาล ๒๘ ล้านคน มีการประกอบพิธีกรรมบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยที่จัดขึ้นทุกๆ ๕ ปี โดยวิธีฆ่าสัตว์ วัว ควาย แพะ หรืแม้แต่หนูด้วยวิธีการฟันคอจนตาย ๕ แสนตัว กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั้งหมู่บ้าน

จากการนี้มีผู้โยงใยไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวว่าเกิดจากกรรมในการฆ่าสัตว์จำนวนมากเมื่อ ๕ เดือนก่อน

การนี้ผู้เขียนไม่ออกความเห็นเพราะเห็นว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ถึงแม้ผู้เขียนจะเชื่อเรื่องของกรรม แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า กรรมเป็นของปัจเจกบุคคล ใครทำกรรมใดก็ได้รับผลกรรมนั้น การที่ผลกรรมที่คนอื่นกระทำ แต่ต้องมาตกทีเรานั้นไม่ถูกต้อง เราไม่ได้ทำกรรมนั้น เราก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น อีกทั้งเราไม่ใช่ญาติเราก็ยิ่งไม่ควรต้องรับผลกรรม

คนบริสุทธิ์จำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ไร้บ้านที่อยู่อาศัย เพราะแผ่นดินไหว คงไม่ใช่ผลกรรมที่คนในอีกหมู่บ้านหนึ่งทำขึ้นมา

ถึงกระนั้นประเด็นที่น่าสนใจที่ผู้เขียนหยิบยกมาสนทนากันในวันนี้คือบทความที่เขียนเรื่องของการบูชายัญในพระไตรปิฎก ว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามการบูชายัญ และบทความนี้เอง ยังได้เล่าถึงความล่มสลายของศาสนาพุทธในอินเดีย ว่าเกิดขึ้นจากบรรดาพราหมณ์ผู้เสียผลประโยชน์จากการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ต่อเทพยดาของศาสนาพุทธ ได้ทำลายศาสนาพุทธลงเสียเพราะต้องการให้ผู้คนยังคงงมงายและเชื่อว่ามนุษย์นั้นเกิดมาตามพรหมลิขิตไม่มีโอกาสเปลี่ยนชนชั้นได้ เพื่อกดขี่ให้คนในวรรณะต่ำกว่าต้องทำงานหนักที่วรรณะสูงๆไม่ต้องการทำ และหาผลประโยชน์จากการปลูกฝังให้คนยอมก้มหน้ารับกับโชคชะตาโดยไม่ลุกขึ้นสู้หรือแก้ไข

บทความนี้น่าสนใจ ผู้เขียนจึงนำมาฝากต่อท้ายจากเรื่องของแผ่นดินไหวในเนปาล ว่าศานาพุทธสูญหายไปจากเนปาลและอินเดียได้อย่างไร

บทความนี้ตัดตอนมาจากข้อเขียนของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) จากหนังสือสืบเนื่องจากภาพยนต์เรื่องกำเนิดพระพุทธเจ้าบทเรียนที่มักถูกลืมของพระธรรมปิฎก มีความดังต่อไปนี้

อีกด้านหนึ่งคือการบูชายัญในพระไตรปิฎก มีเรื่องราวจารึกไว้หลายพระสูตรที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงพบปะสนทนาโต้ตอบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่มีชื่อเสียงและผู้ปกครองบ้านเมือง โดยทรงใช้วิธีการทางปัญญา ทำให้เขาเลิกล้มพิธีบูชายัญที่เอาใจเทพเจ้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการเบียดเบียนคนและสัตว์ ให้เขาหันมาบำเพ็ญทานเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกันในหมู่มนุษย์เอง เมื่อการต่อสู้ทางปัญญาเข้มข้นขึ้น และพระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไป พิธีบูชายัญก็ลดความสำคัญลง แม้แต่พราหมณ์ก็สละวรรณะออกมาบวชเป็นพระภิกษุกันมากขึ้น ๆ ทำให้สถานะของศาสนาพราหมณ์สั่นคลอนอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไป พระพุทธศาสนาก็ยิ่งเจริญแพร่หลายกว้างขวาง จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะที่ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยทะนุบำรุงอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์อย่างทั่วถึง และคุ้มครองในความเป็นธรรมเสมอเหมือนกัน นอกจากไม่ให้อภิสิทธิ์แก่วรรณะพราหมณ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชถึงกับทรงประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และทรงย้ำการห้ามบูชายัญนี้บ่อยครั้งในศิลาจารึกที่โปรดให้เขียนไว้ในท้องถิ่นดินแดนต่าง ๆ นับว่าเป็นการหักล้างหลักการของศาสนาพราหมณ์อย่างถึงรากถึงฐาน แน่นอนว่า ระบบวรรณะ และการบูชายัญเป็นสิ่งที่พราหมณ์จะต้องพยายามรักษาไว้ให้มั่นคงที่สุด หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตเพียง ๕๓ ปี ( นับแบบของเราว่า พ.ศ. ๓๑๓ แต่นับอย่างฝรั่งว่าประมาณ พ.ศ. ๒๙๘ )พวกพราหมณ์ก็โค่นล้มราชวงศ์โมริยะลง โดยพราหมณ์นามว่า ปุษยมิตร ซึ่งรับราชการเป็นเสนาบดีอยู่ในวัง ได้ปลงพระชนม์กษัตริย์เสีย แล้วพราหมณ์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เอง ตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อว่าศุงคะ มีเรื่องบันทึกไว้ว่า ราชาปุษยมิตรได้ประกาศศักดา โดยรื้อฟื้นการบูชายัญ เฉพาะอย่างยิ่งยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คืออัศวเมธ อันได้แก่การฆ่าม้าบูชายัญ นอกจากนั้น ราชาปุษยมิตรได้ทำลายพระพุทธศาสนา เผาวัดกำจัดพระภิกษุสงฆ์ โดยถึงกับในค่าศีรษะแก่ผู้ฆ่าพระภิกษุได้ รูปละ ๑๐๐ ทินาร์* [Dutt, Sukumar. The buddha and Five After-Centuries. (London:Luzac and Company Limited, 1955,p.164] แต่เรื่องของปุษยมิตรอยู่ในยุคที่มีเอกสารน้อย จึงไม่มีรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ราชาปุษยมิตรทำลายพระพุทธศาสนาไม่ได้มาก เพราะครองดินแดนของราชวงศ์โมริยะไว้ได้เพียงบางส่วน มีผู้ตั้งอาณาจักรอื่น ๆ ขึ้น แตกแยกออกไป และพระพุทธศาสนาก็ยังรุ่งเรืองต่อมาในหลายถิ่น เช่น ในอาณาจักรบากเตรีย ที่เราเรียกว่า แคว้นโยนกของกษัตริย์เชื้อชาติกรีก พระนามว่าพระเจ้าเมนานเดอร์หรือมิลินทะ แห่งแคว้นสาคละ หรือสากละในปัญจาบปัจจุบัน ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ (ราว ๑๕๐ ปีหลังยุคพระเจ้าอโศกมหาราช) เทพเจ้าองค์ใหม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาในศาสนาพราหมณ์นั้น คือพระวิษณุ (ได้แก่พระนารายณ์) และพระศิวะ (ได้แก่พระอิศวร) ในยุคต่อจากนี้ ตลอดเวลาระยะยาว พราหมณ์ได้พยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งอย่างรุนแรง และอย่างละมุนละม่อม รวมทั้งการสร้างนารายณ์อวตารปางที่ ๙ ที่เรียกว่าพุทธาวตาร หรือที่พราหมณ์เองเรียกว่าปางมายาโมหะ และศิวะอวตาร ตลอดจนตั้งคณะนักบวชฮินดูขึ้นมาเลียนแบบสังฆะ เดี๋ยวนี้ชาวฮินดูสร้างเทวาลัย บางพวกวางรูปพระนารายณ์ไว้ตรงกลาง แล้วบางแห่งก็เอารูปพระพุทธเจ้าไปวางไว้ข้าง ๆ ให้เป็นบริวาร การที่เขาทำอย่างนี้ เป็นเรื่องยุคหลัง ๆ ที่สืบมาแต่ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ครั้งนั้น ทางฝ่ายฮินดูแต่งเรื่อง โดยสร้างหลักคำสอนใหม่ขึ้นมา บอกว่าพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่จะอวตารลงมากู้และแก้ปัญหาของโลกเป็นระยะ ๆ แล้ว ครั้งหนึ่งก็ได้อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าของเราก็กลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เขาบอกว่า บูชาพระพุทธเจ้าได้ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นพระนารายณ์ที่อวตารลงมา ว่าแล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปไปไว้ในเทวาลัยของฮินดูด้วย โดยเอาพระนารายณ์ตั้งตรงกลาง แล้วเอาพระพุทธรูปไปวางไว้ข้าง ๆ เป็นการค่อยประสานกลมกลืนกันไป แต่ที่เขาบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ดูเหมือนเป็นการยกย่องนั้น ถ้าศึกษาสักหน่อย ก็จะรู้ว่าเป็นการมุ่งร้าย เพราะเขาบอกว่า

พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อทำหน้าที่หลอกลวงคน ลัทธิฮินดูบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางมายาโมหะ คือปางหลอกลวงคน หลอกลวงอย่างไร คือเขาแต่งเป็นเรื่องว่า มีมนุษย์จำนวนมากที่เป็นพวกของอสูรร้ายเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและต่อพระเวท พระนารายณ์ก็เลยอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหลอกลวงคนเหล่านี้เอามารวมเข้าด้วยกันไว้ เพื่อช่วยให้เทพเจ้าทำลายคนเหล่านี้ได้สะดวกทีเดียวหมดเลย หมายความว่า ฮินดูให้พระพุทธเจ้าเป็นพระเอกในบทบาทของผู้หลอกลวง และถือว่าชาวพุทธก็คือพวกลูกน้องของอสูร

พราหมณ์ใช้พระนารายณ์มาชิงอินเดียกลับไป ไหน ๆ ได้พูดพาดพิงถึงการที่ฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารแล้ว ก็ควรจะพูดให้เข้าใจชัดเจนขึ้นสักนิด เรื่องนารายณ์อวตารนี้เกิดขึ้นในยุคคัมภีร์ปุราณะของฮินดู ปุราณะ แปลง่าย ๆ ว่า เรื่องโบราณก็คล้ายกับคำว่าตำนาน แต่เป็นตำนานของฮินดูโดยเฉพาะคัมภีร์ปุราณะมีทั้งหมด ๑๘ คัมภีร์ แต่ก่อนเคยเข้าใจกันว่าเก่าแก่มาก แต่เวลานี้รู้กันลงตัวหมดแล้วว่า แต่งขึ้นเริ่มแรกในคริสต์ศตวรรษ ที่ ๔ (ราว พ.ศ. ๘๕๐) และแต่งกันเรื่อย ๆ มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ (ราว พ.ศ.๑๔๕๐) แต่ปราชญ์บางท่านว่าถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (ราว พ.ศ.๒๐๕๐) เรื่องเอาพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ที่เรียกว่าพุทธาวตารนั้น ปรากฏขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๑๐๐ คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์แรกที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร คือ "วิษณุปุราณะ" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แต่งในช่วง พ.ศ.๙๔๓-๑๐๔๓ และบรรยายไว้ยืดยาว ชาวฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารเพื่ออะไร ไม่ควรเดา ถ้าต้องการรู้ชัดก็อ่านข้อความในคัมภีร์ปุราณะที่เป็นต้นแหล่ง ก็จะได้ความแน่นอน ขอยกข้อความในคัมภีร์วิษณุปุราณะ ตอนสำคัญมาให้ดู ตอนหนึ่งว่า "พวกอสูร มีประหลาทะ เป็นหัวหน้า ได้ขโมยเครื่องบูชายัญของเทพยดาทั้งหลายไป แต่เหล่าอสูรเก่งกล้ามาก เทพยดาปราบไม่ได้ พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จึงทรงนิรมิตบุรุษแห่งมายา (นักหลอกลวง) ขึ้นมาเพื่อให้ไปชักพาเหล่าอสูรออกไปให้พ้นจากทางแห่งพระเวท ..... บุรุษแห่งมายานั้นนุ่งห่มผ้าสีแดง และสอนเหล่าอสูรว่า การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นบาป..... ทำให้พวกอสูรเป็นชาวพุทธและชักพาให้หมู่ชนอื่น ๆ ออกนอกศาสนา พากันละทิ้งพระเวท ติเตียนเทพยดาและพราหมณ์ทั้งหลาย สลัดทิ้งสัทธรรมที่เป็นเกราะป้องกันตัว เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าโจมตีและฆ่าอสูรเหล่านั้นได้"

อีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ในการสงครามระหว่างเทพยดากับเหล่าอสูร เทพยดาได้ปราชัย และมาขอให้องค์พระเป็นเจ้า (พระวิษณุ=พระนารายณ์) ทรงเป็นที่พึ่ง องค์พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงมาอุบัติเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ มาทรงเป็นองค์มายาโมหะ (ผู้หลอกลวง) และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา และละทิ้งพระเวท แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นอรหันต์ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น" ญาติโยมอาจสงสัยว่า ทำไมจะไปล่อให้อสูรออกนอกศาสนาเสียละ ทำให้เขานับถือไม่ดี หรือตอบง่าย ๆ ว่า พราหมณ์หรือฮินดูถือว่า อสูรเป็นศัตรูของเทวดา เมื่ออสูรมารู้พระเวท ทำพิธีบูชายัญ เป็นต้น ก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจ เทวดาก็ปราบไม่ได้ เหมือนอย่างเรื่องข้างต้น พระนารายณ์จึงอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรกับพวกออกไปเสียจากศาสนาฮินดู (ให้เลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญเป็นต้น) แล้วจะได้หมดฤทธิ์ หมดพลังอำนาจ เสร็จแล้วพวกเทวดาจะได้สามารถปราบหรือกำจัดอสูรได้สำเร็จ หมายความว่า พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อมาหลอกเหล่าอสูร ซึ่งเป็นศัตรูของเทวดาให้หลงผิดเลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญ เป็นต้น แล้วอสูรจะได้หมดฤทธานุ-ภาพ คือมาช่วยให้เทวดาปราบอสูรได้สำเร็จ และก็หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหมดนี้คือพวกอสูร ซึ่งจะต้องถูกปราบถูกกำจัดต่อไป คัมภีร์ภาควตปุราณะ ซึ่งเป็นปุราณะที่สำคัญที่สุดกล่าวว่า "เมื่อกลียุคเริ่มขึ้นแล้ว องค์พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า โอรสของราชาอัญชนะ (ที่จริงเป็นพระอัยกาของพุทธเจ้า) เพื่อชักพาเหล่าศัตรูของเทพยดาทั้งหลายให้หลงผิดไปเสีย มาสอนอธรรมแก่เหล่าอสูร ทำให้พวกมันออกไปเสียจากพระศาสนา พระองค์จะทรงสั่งสอนเหล่าชนผู้ไม่สมควรแก่ยัญ พิธีให้หลงผิดออกไป ขอนอบน้อมแด่องค์พุทธะ ผู้บริสุทธิ์ ผู้หลอกลวงเหล่าอสูร" ที่ว่ากลียุคนั้น ทางฮินดูถือว่ามีเครื่องหมายแสดงให้รู้คือ เมื่อใดการแบ่งแยกวรรณะทั้ง ๔ เริ่มผ่านคลายเสื่อมสลายลง ก็แสดงว่ากำลังเริ่มเข้าสู่กลียุค ตอนนี้ คัมภีร์ปุราณะก็กล่าวบรรยายไว้ด้วยว่า เมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรและพวกให้หลงผิดออกไปจากศาสนาฮินดูเรียบร้อยแล้วต่อไป เมื่อสิ้นกลียุคแล้ว พระองค์ก็จะอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นอวตารปางที ๑๐ (ต่อจากพระพุทธเจ้าซึ่งเขาจัดเป็นปางที่ ๙ ) ชื่อกัลกี (กัลกยาวตาร) เพื่อกำจัดกวาดล้างฆ่าเหล่าอสูรนั้นให้หมดสิ้น แล้วเสด็จกลับคือสู่สรวงสวรรค์ ต่อแต่นั้น โลกก็จะกลับเข้าสู่ยุคทอง


by JJ San on