ไลฟ์สไตล์
จอมพล
นาฎศิลป์ไทย

ภาพของทราย อินทิรา เจริญปุระที่พาดหลาอยู่บนหน้าไลฟ์สไตล์ฉบับนี้ ผู้เขียนนำมาจากเฟสบุ๊คของเพื่อนที่รุมกระหน่ำกันด่าทอดาราสาวพิธีกรรายการ Diva Café ที่นำเสนอไปในช่อง Voice TV อันเป็นช่องที่เป็นที่รู้กันดีว่าอยู่ในเครือของเสื้อแดง เมื่อได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพยิ้มแป้นของเธอ ที่บอกว่า “ นาฏศิลป์ทำให้คนไทยล้าหลัง เรียนแล้วไม่สามารถเอาไปประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงตนได้ ถอดออกก็ไม่ทำให้เด็กโง่หรอกค่ะ” ก็ทำให้ตกใจว่า เธอช่างกล้าพูดได้เช่นนั้นเชียวหรือ ถึงขนาดที่ผู้เขียนต้องเข้าเน็ตเปิดยูทูปเข้าไปดูรายการว่านางพูดจริงเช่นนั้นหรือไม่

อย่างไรก็ตามสำหรับท่านผู้อ่านผู้ที่ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุผู้เขียนก็จะขอเท้าความว่าเรื่องมันเกิดขึ้นดังที่ได้คาบข่าวจากกระปุกดอทคอมมาดังนี้

“เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก กรณีที่มีกระแสข่าวว่า สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตัดสินใจไม่นำวิชานาฏศิลป์ไทยลงไปในร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ โดยให้เหตุผลว่า การที่คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ ส่วนหนึ่งพิจารณาจากคะแนนโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) เป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและ พัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งพบว่า เด็กไทยมีความสามารถด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับ 50 จาก 65 ประเทศทั่วโลก ทาง สพฐ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จึงมีความพยายามที่จะยกระดับให้เด็กไทยมีคะแนนใน 3 ด้านดีขึ้น เพื่อให้การศึกษาไทยพัฒนาขึ้นสู่อันดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ดัง นั้น จากเดิมที่ สพฐ. กำหนดให้เด็กไทยเรียน 8 กลุ่มวิชา คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพละศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ ในร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ จึงมีปรับลด เหลือ 6 กลุ่มวิชา คือ ภาษาและวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและคณิตศาสตร์ การดำรงชีวิตและโลกของงาน ทักษะสื่อสารและการสื่อสาร สังคมและความเป็นมนุษย์ และอาเซียนภูมิภาคและโลก ส่วนวิชานาฏศิลป์ถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มสังคมและความเป็นมนุษย์เหมือนวิชา ศิลปะ

แต่เมื่ออาจารย์นาฏศิลป์ จากทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศ ไม่พบเนื้อหาหลักวิชานาฏศิลป์ในหลักสูตรดังกล่าว จึงร่วมกันตั้งคำถามไปยังกับ สพฐ. ว่า มีการตัดวิชานาฏศิลป์ออกจากหลักสูตรไปแล้วหรือไม่ และหากเรื่องนี้เป็นจริง ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย กลุ่มคณาจารย์ นิสิต นักศึกษาด้านศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนาฏศิลป์ จึงเตรียมรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือและขอเข้าพบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. ในปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้ข้อมูลและอธิบายความสำคัญของการเรียนวิชานาฏศิลป์ในโรงเรียนให้ผู้ ร่างหลักสูตรและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ

ขณะเดียวกันคนในวงการบันเทิงที่เคยเรียนวิชาด้านนาฏศิลป์มาก่อน ต่างพากันท้วงติงในร่างหลักสูตรการศึกษาดังกล่าวผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม ได้โพสต์รูปในอินสตาแกรม ที่มีข้อความว่า "กูเรียนรำ" พร้อมระบุว่า "ถ้า ไม่มีวิชานาฏศิลป์ในหลักสูตร นั่นคือการนับถอยหลังของเด็กไทยที่จะลืมรากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ยิ่งโลกมันก้าวไปข้างหน้าเรายิ่งต้องช่วยกัน สืบสาน สั่งสม บ่มเพาะ อนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมไทย ให้อยู่คู่ประเทศไทย ให้ยาวนานที่สุด (คิดเยอะ ๆ นะคะ คนที่มีอำนาจในตรงนี้)"

อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่เหล่าศิลปินดาราและครูสอนนาฏศิลป์ทั้งหลายได้ออกมาแสดงพลัง เรื่องกลับโอละพ่อว่า แท้จริงกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ตัดวิชานาฏศิลป์ไทยออกแต่ได้เพียงลดกลุ่มวิชาลงและนำไปรวมกับวิชาอื่น โดยยังเป็นวิชาบังคับ แต่ให้เป็นวิชาเลือกในระดับมัธยมปลาย ถึงกระนั้นกลุ่มอาจารย์นาฏศิลป์ก็ยังให้ความคิดเห็นว่า ในระดับมัธยมปลายก็ยังคงต้องให้เป็นวิชาบังคับเช่นเดิม มิฉะนั้นจะมีผลกระทบต่อครูผู้สอนเป็นหมื่นคนทั่วประเทศ ที่วิชานาฏศิลป์จะลดความสำคัญลงและจะตกงานกัน (จากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ ๑๕ ตุลาคม)

กระแสเรื่องการยุบวิชานาฏศิลป์ไทยซึ่งในความจริงแล้วยังไม่ได้ยุบแต่นำไปรวมในกลุ่มวิชาอื่น ได้เป็นกระแสดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรายการ Diva Café อันมีพิธีกรสาวสามคนได้แก่ มนทกานติ รังสิพราหมณกุล พรรณิการ์ วานิช และสุดท้าย ทราย อินทิรา เจริญปุระ ได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยหากท่านผู้อ่านอ่านทางอินเตอร์เน็ทก็สามารถคลิกดูรายการได้ตามนี้http://www.youtube.com/watch?v=_77I7AoqEcs

หลังจากที่ผู้เขียนได้เข้าไปชมรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พอจับประเด็นได้ว่า ผู้จัดรายการทั้งสามท่าน ซึ่งจีบปากจีบคอพูดอย่างฉะฉาน พูดในทำนองที่ว่า ศิลปไทยไม่จำเป็นต้องบังคับให้เรียนจึงจะเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย การที่คนไทยติดอยู่กับรูปแบบดั้งเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย ทำให้คนไทยล้าหลังในเรื่องของพัฒนาการทางด้านศิลปะ เพราะมัวติดยึดอยู่กับรูปแบบมาตรฐาน พร้อมทั้งยังได้กล่าวสรรเสริญศิลปินไทยที่นำโดย คุณพิเชษฐ์ กลิ่นชื่น ที่ได้สร้างศิลปไทยแขนงใหม่ที่แหวกแนวออกไปจากมาตรฐานศิลปไทย เช่นการทำโชว์ที่เคยไปโชว์ที่สิงคโปร์ คือการแสดงที่มีชื่อว่า “โขนขาวดำ” ซึ่งสร้างรูปแบบต่างออกไปจากโขนแท้ๆ ใช้ดนตรีจีน และจัดแสงโดยคนญี่ปุ่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตลอดจนหัวโขนก็ออกแบบใหม่ดูทันสมัยหวือหวาเป็นอวกาศ เหมือนเป็นศิลปตะวันตกแต่ยืนพื้นด้วยเรื่องรามเกียรติ์ ที่แสดงออกมาเชิงนามธรรม สรุปง่ายๆก็คือรายการดีว่าคาเฟ กำลังจะบอกว่าการที่ศิลปะไทยหรือวัฒนธรรมไทยที่ไม่เจริญเทียบเท่าต่างประเทศก็คงเป็นเพราะคนไทยมัวแต่ยึดติดกับมาตรฐานเดิมๆ ถ้าต่างออกไปก็จะถูกด่าว่าลืมรากเหง้าความเป็นไทย

ผู้เขียนพยายามดูรายการนี้กลับไปมาหลายครั้งเพื่อให้เห็นว่าคุณทรายเธอพูดตอนไหนว่านาฏศิลป์ไทยทำให้คนไทยล้าหลัง เรียนไปก็เอาไปประกอบอาชีพไม่ได้ ก็ไม่เห็นเธอพูดว่าอย่างนั้น จริงแล้วเธอพูดน้อยกว่าพิธีกรอีกสองท่านเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยบุคลิกของเธอกระมังที่ชวนให้คนดูหมั่นไส้ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอเป็นคนดังที่สุดในสามคนนั้น แล้วดันไปทำงานอยู่ช่องคนเสื้อแดง ก็เลยพาลกลายเป็นเป้าโจมตี อย่างไม่เป็นธรรม

ความจริงผู้เขียนก็ไม่ค่อยชอบหล่อนทั้งสามคนนี้เท่าไหร่นัก ค่าที่ว่าแสดงความคิดออกมาทางด้านเดียวและค่อนข้างใช้ถ้อยคำไม่ค่อยเป็นที่เกรงใจชาวบ้านชาวเมืองเท่าไหร่นัก ออกจะหมั่นไส้เสียด้วยซ้ำ แต่ผู้เขียนก็ต้องยอมรับว่า เมื่อดูรายการทั้งหมดแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาจะสื่อไปอย่างที่มีคนเอาไปพาดอยู่บนหน้าทรายแล้วโพสท์ด่าสาดเสียเทเสียทางโซเชียลเน็ทเวิร์คแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามกระแสร้อนแรงนี้ได้แรงขึ้นอีกเมื่อพิธีกรปากเก่งอย่างคุณม้า อรนภา ออกมาด่ารายการนี้อย่างรุนแรงดังนี้

"@itr นี่คือพี่ม้าเองค่ะ ฟังหนูพูดในรายการ Diva. หนูคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องการเรียนนาฏศิลป์ จึงพูดออกมาอย่างไม่รู้เท่าถึงการ หรือมีคนสั่งให้พูดเพื่อให้เรื่องมันยืดเยื้อออกไปอีก พี่เป็นคนหนึ่งที่จบนาฏศิลป์ชั้นสูงมา เคยใช้ทำมาหากินอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต แล้วก็เลิกลาไป พี่เชื่อว่าการเรียนของพี่มันต่อยอดให้พี่ ทำเรื่องอื่นได้ดีจนถึงทุกวันนี้ ที่หนูเห็นอยู่นั่นแหละ ในขณะที่อายุปาเข้าไป 60 แล้ว ฝรั่งก็ได้ เทรนด์ไหนมาก็ได้ เพราะมีบอดี้ ที่เฟรกซิเบลล์ การเรียนไม่ได้หมายบังคับว่าต้องมารักรำ และมีอาชีพรำ หรือแค่เป็นครู แต่มีไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังไม่โง่ เข้าใจอะไรผิดๆแล้วนำไปตีความ นาฏศิลป์รวมทั้งของไทยและฝรั่ง เรียนให้เข้าใจ โตขึ้นจะได้ไม่โง่ ไม่ได้หมายถึงให้ยึดเป็นอาชีพ และที่สำคัญที่สุด รู้และรักกำพืดอันเป็นรากเหง้าของเราในความเป็นไทย สมัยนี้ไม่ชอบของไทย ชอบของนอก แต่ก็ไม่นอกเท่ากับพี่ แค่เปลือกๆกันทั้งนั้น ทั้งพูดทั้งแสดงออก แต่พี่มีความสำเหนียกของความเป็นไทยเสมอ อยู่ในสายเลือดเลยล่ะ ไม่พอใจกันทำไมไม่ไปอยู่ประเทศอื่น หน้าด้านอยู่ในประเทศไทยที่มีรากเหง้าของตัวเองทำไม ก็เพราะไม่กล้าไง เห็นไหม เปลือกชัดๆ เขียนมายาวคงเข้าใจขึ้นนะคะ แล้วไปบอก เบียร์และแขก ด้วย ซึ่งพี่เสียใจมากเพราะรู้จักดีมากๆ ทั้ง 2 คน มีโอกาสจะจับเข่าพูดให้เข้าใจ จาก คนไทยแท้ๆที่รักความเป็นไทย"

ตอนแรกๆก็ยังดีอยู่แต่พอมาถึงตอนที่ว่า “ไม่พอใจกันทำไมไม่ไปอยู่ประเทศอื่น หน้าด้านอยู่ในประเทศไทยที่มีรากเหง้าของตัวเองทำไม” ก็เลยเห็นว่าอันนี้เริ่มไม่เป็นธรรมกับแม่พิธีกรทั้งสามคนนี้ เพราะเท่าที่ดูก็ไม่เห็นว่าเขาจะไม่ได้เห็นว่านาฏศิลป์ไทยไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด เพียงแต่ประเด็นอยู่ที่ว่า เวลาขึ้นมัธยมแล้วต้องบังคับให้เรียนกันด้วยหรือ เป็นวิชาเลือกนี้มันจะกระทบรากเหง้ากันอย่างไร

ผู้เขียนรักวัฒนธรรมไทย และคิดว่าประเทศไทยมีความดีและความงดงามอยู่หลายอย่าง ที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์แท้ที่มีประเทศอยู่ไม่กี่ประเทศในโลกที่มีวัฒนธรรมแข็งแรงและเด่นชัด จนเมื่อเห็นก็รู้ได้ว่ามาจากประเทศไหน วัฒนธรรมไทยไม่ว่าจะเป็น ภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี สถาปัตยกรรมและศิลปแขนงต่างๆ มีความเด่นชัดมีเอกลักษณ์และงดงาม และจะว่าไปคนไทยก็รักวัฒนธรรมไทย ปลูกฝังให้คนรุ่นหลังรักและเคารพในเอกลักษณ์ไทยอยู่แล้ว การบรรจุวิชานาฏศิลป์ไทยเข้าไปในหลักสูตรก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่า เมื่อนักเรียนโตขึ้นแล้วควรจะมีอิสระที่จะเลือกในวิชาที่ตนมีความถนัด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันให้นักมวยมาหัดรำไทย หรือนักวิทยาศาสตร์มาเต้นโขน การเรียนแค่พื้นฐานเพียงเพื่อให้รู้จักว่านาฏศิลป์และดนตรีไทยมีความงดงามไพเราะเพียงใดก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากนักเรียนสนใจและรักก็ต่อยอดด้วยการเรียนเฉพาะทางต่อไป คนที่ไม่สนใจก็ไม่ต้องถูกบังคับให้เรียน ผู้เขียนเองเรียนโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เด็กไม่เคยเรียนรำหรือเรียนนาฏศิลป์ไทย แต่เมื่อโตมาก็ชอบดูนาฏศิลป์ไทย อาจจะมีเบื่อๆอยู่บ้างค่าที่ว่าเนิบนาบชักช้า แต่ก็พอดูเป็น เสพได้อย่างปลื้มใจและเห็นความงดงาม ผู้เขียนไม่เห็นว่าตัวเองจะลืมรากเหง้าความเป็นไทยตรงไหน ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนรำเลย

การที่บรรดาคนไทยทั้งหลายที่รักชาติเหลือเกินนั้นออกมาตีโพยตีพายให้วิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาบังคับแม้ในระดับมัธยมปลายนั้น จึงไม่มีเหตุผล ดูเป็นพวกค่านิยมหัวรุนแรง ค้านหัวชนฝา โดยไม่ฟังเหตุฟังผล ที่สำคัญเมื่อมีคนที่มีความคิดแตกต่าง ก็ไม่ฟังความให้ละเอียด มีอคติที่ว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง เลยพาลคิดว่าเขาเป็นขบถไปเสียหมด

เป็นกันเสียอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่สังคมมันจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้ อย่าถือฝักฝ่ายกันมากนักเลย ให้ความเป็นธรรมกันบ้าง อย่าตัดสินคนโดยไม่ฟังความให้ละเอียดเสียก่อน จะวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลให้ถ่องแท้ ก็อย่างที่ว่าล่ะครับ ไปๆมาๆคนที่ไปด่าเขา สุดท้ายก็ “เงิบ” เสียเอง จริงหรือไม่ก็คิดกันดูเอาเอง