ไลฟ์สไตล์
จอมพล
มองหลายมุมการล้างพิษตับ

ช่วงระยะเวลาประมาณ ๕ ปีที่ผ่านมานี้ มีกระแสความนิยมเรื่องของการล้างพิษตับด้วยการทำดีทอกซ์และดื่มน้ำมันมะกอกกันมาก บ้างก็จัดทำเป็นศูนย์ล้างพิษตับเป็นเรื่องเป็นราว มีการไปเข้าคอร์สมีนักวิชาการคอยให้ความแนะนำ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ถูกเรียกว่าเป็นหมื่นบาทขึ้นไปใช้เวลาสามถึงสี่วัน บ้างก็เป็นสูตรแบบง่ายให้มาทำกันเองตามบ้าน บ้างก็ทำเป็นยาเม็ดให้รับประทาน

ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยประเภทขอบตาดำที่เขามักจะบอกว่าเป็นเพราะตับมีสารพิษตกค้างอยู่มาก หรือตลอดไปจนปัญหาใหญ่เช่นมีนิ่วในถุงน้ำดี หรือเป็นมะเร็งตับ ต่างก็พากันหันหน้ามาหาแพทย์ทางเลือกนี้อยู่มาก มีรายงานผลว่าได้ผลดี มีนิ่วหลุดออกมาหรือมะเร็งหลุดออกมา บางคนบอกว่าที่เคยตรวจมีมะเร็งก็กลับไม่มีมะเร็งในภายหลัง กลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จึงมีคนตื่นเต้นและพูดถึงกันมาก

ผู้เขียนนั้นไม่เคยทราบมาก่อน เรื่องของการล้างพิษตับ มาได้ยินเพราะเพื่อนสนิทไปตรวจร่างกายแล้วพบก้อนเนื้อในตับจากการส่องกล้องอุลตราซาวด์ เจ้าหล่อนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเกรงจะเป็นมะเร็ง เมื่อมีคนแนะนำว่าให้ลองล้างพิษตับดู เธอก็ตั้งใจจะลองทำ เมื่อเธอมาปรึกษากับผู้เขียน ผู้เขียนจึงลงมือหาข้อมูล และก็ปรากฏว่าพบข้อมูลที่มีทั้งเชื่อ และไม่เชื่อ รวมทั้งข้อมูลที่สรุปว่าควรจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ดีที่จะอ่านทั้งสองฝั่งและใช้วิจารณญานของท่านเองตัดสินเอาว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร

ว่ากันถึงฝ่ายที่สนับสนุนการล้างพิษตับก่อน ผู้เขียนใช้นามปากกาว่า “ชีวอโรคยา” ซึ่งก็คงเป็นผู้ที่เปิดศูนย์ล้างพิษตับนั่นเอง เขาว่าดังนี้

ความจริงแล้วหลักสูตรล้างพิษตับ ของสันติอโศกนี้ เป็นการดูแลสุขภาพองค์รวมทั้งหมดของร่างกายแต่ขอเรียกหลักสูตรนี้สั้นๆ ว่า “การล้างพิษตับ” หมายถึง การนำพิษออกจากร่างกายโดยกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับพิษออกนอกร่างกายด้วย วิธีกินอาหารพลังงานต่ำ หรืออดอาหาร (ดื่มน้ำสมุนไพรแทน) และใช้ยาสมุนไพรซึ่งสามารถนำพิษออกได้มากกว่าวิธีอื่นๆ เหมาะสำหรับคนที่มีพิษสะสมในร่างกายปริมาณมาก เช่น เป็นนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในตับ หรือผู้เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆโดยปกติ ร่างกายของคนเรามีกระบวนการกำจัดพิษออกจากร่างกายได้หลายวิธีเช่น การไอ การจาม มีขน มีเมือกโบกพัดเชื้อโรคออกจากร่างกายมีเม็ดเลือดขาวช่วยจับกินเชื้อโรค มีระบบภูมิคุ้มกันช่วยดูแลร่างกายให้แข็งแรงและยังมีตับเป็นอวัยวะที่รวบรวม พิษและกำจัดพิษออก จากร่างกายอีกด้วย ถ้า เราไม่รู้จักวิธีดูแลตับไม่รู้จักวิธีเอาพิษออก อาจทำให้ตับถูกทำลายด้วยพิษ ให้สูญเสียหน้าที่ต่างๆ ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้การเอาพิษออกจากตับ (Liverflushing) จึงเป็นวิธีการดูแลตับที่ดีมาก สามารถเอาพิษออกจากร่างกายได้ในปริมาณที่มากจึงมีประโยชน์ดังนี้คือ

1. ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆหลายชนิดในร่างกายที่ช่วยตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

2. ป้องกันตับจากสารพิษ ยา สารเคมี หรือแอลกอฮอล์

3. ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เร่งการขับสารพิษตกค้างในร่างกายปกป้องตับจากการทำเคมีบำบัด ในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)ที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ตับไม่ให้ ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงสามารถต่อต้านเชื้อโรค และสิ่ง แปลกปลอม บรรเทาความรุนแรงของหวัด หรืออาการภูมิแพ้

5. ช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆกลับมาใช้ได้ใหม่ เช่น วิตามินซี

6. ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับและลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

7. ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ ทั่วร่างกาย

8. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ ผิวหนัง คอลลาเจน อิลาสติน เส้นเอ็นและความแข็งแรงการยืดหยุ่นของหลอดเลือด


ผู้ที่ควรล้างพิษตับคือผู้ที่มีอาการดังนี้

1.1 ทำได้ในผู้ที่มีอาการพิษสะสม เช่น

* อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิดประจำ

* ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ

* เบื่ออาหาร ท้องอืดบ่อย

* หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใสผิวพรรณหยาบกร้าน

* มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ

* ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมากไปทำให้ร่างกายอ้วน

* ขับถ่ายและละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า

* อ่อนเพลีย ง่วงนอนสมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม

* โรคท้องผูกและ ริดสีดวงทวาร

* สตรีมีรอบเดือนมาไม่ปรกติ

* ประสาทตึงเครียดและร่างกายไม่แข็งแรง บุรุษมีสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

* ผิวหนังเป็นผื่นคันลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ผายลมบ่อย

* โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบตัน

* ภูมิแพ้การต้านทานการติดเชื้อโรคของเด็ก และผู้สูงอายุ

* ไตทำงานหนัก (จากการช่วยขับพิษยาตกค้างแทน)


พิษที่ออกมาจากตับถุงน้ำดี มีลักษณะดังนี้ คือ

1. ลอยอยู่ข้างบน คือ ไขมันจากตับ และนิ่วจากถุงน้ำดี ไขมันจากตับจะมีสีเหลือง สีเขียว สีดำก้อนขรุขระ หรือ เป็นน้ำสีดำ สีเหลือง สีเทา มันติดมือล้างไม่ออกต้องใช้น้ำยาล้างจาน หรือสบู่ล้างหลายๆครั้ง

2. ลอยอยู่ตรงกลาง จะเป็นเซลล์มะเร็งมีลักษณะเหมือนเห็ดหูหนูขาว

3. อยู่ล่างสุด คือเม็ดเลือดแดง ที่หมดอายุ

4. ลักษณะนิ่วจากถุงน้ำดี จะมีสีเขียวเหลือง ดำ ก้อนค่อนข้างกลม


อาการหลังล้างพิษ

ส่วน ใหญ่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันทีหลายคนที่หายจากโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานระยะเริ่มต้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเลยทันทีในบางคนอาจจะรู้สึกอ่อนเพลีย บางคนมีพิษปะทุออกทางผิวหนัง(เป็นเพราะดีท็อกซ์ไม่เพียงพอ) อย่าตกใจ เป็นอาการปกติ ให้พักผ่อน ช่วยร่างกายเอาพิษออกด้วยวิธีอื่นๆเช่น ตากแดด แช่มือ-แช่เท้า ให้กินอาหารอ่อนๆ อย่างน้อย 2-3 วันค่อยกินอาหารตามปกติ กินยาหรืออาหารบำรุงตับ และต้องทำดีท็อกซ์ เช้า - เย็น 7วัน

ความจริงเรื่องของเขาลงมายาวมากกว่านี้มีรายละเอียดทั้งก่อนและหลังการล้างพิษตับ แต่ไม่บอกวิธีล้างพิษตับอย่างละเอียด คงจะเป็นเพราะต้องการให้คนไปล้างที่ศูนย์ของตนมากกว่าจะไปทำเองที่บ้าน ซึ่งก็คงเป็นการค้าอย่างหนึ่งนั่นเอง ผู้เขียนจึงตัดทอนออกไปบ้าง ให้อ่านพอคร่าวๆทางด้านของการที่สนับสนุนว่าการล้างพิษตับนี้ดี หากผู้อ่านสนใจก็ลองค้นดูในอินเตอร์เน็ท ชีวอโรคยาล้างพิษตับ คงค้นหาได้ไม่ยาก

ทีนี้เมื่อกระแสล้างพิษตับดังมากๆ ก็มีผู้รู้ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งทางข้อเขียน สื่อพิมพ์ และทางทีวี ซึ่งต่อต้านกันเต็มที่ มีการเชิญคุณหมอมาสัมภาษณ์ คุณหมอเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านิ่วออกจากถุงน้ำดีทุกวัน ก็มายืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องหลอกลวง และสิ่งที่ออกมาจากการทำดีทอกซ์นั้น แท้ที่จริงเป็นก้อนสบู่ที่เกิดจากการกินน้ำมันมะกอกเข้าไปแล้วถูกถุงน้ำดีขับออกมา หาใช่นิ่วในถุงน้ำดีไม่

ข้อความต่อไปนี้ที่คัดมาลง นำมาจากกระทู้พันธ์ทิพย์ ลองอ่านดู เขาเขียนเป็นภาษาพูด ต้องขออภัยดังนี้ครับ

“ตับมีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งเก็บสะสมไกลโคเจน สร้างฮอร์โมน สร้างน้ำดี ทำลายสารเคมีต่างๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย และสร้างสารอีกหลายตัวที่ใช้เมตาบอลิซึม ตับอาศัย เส้นเลือดพาสารเข้าและออก

แต่ตับไม่ใช่อวัยวะที่อยู่ในระบบขับถ่าย น้ำมันมะกอกที่กินเข้าไปนั้นไปทางลำไส้ ไม่เกี่ยวกับเส้นเลือดไปตับ สิ่งที่เรากินเข้าไปเช่นน้ำมันมะกอกนั้นไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับตับได้ครับ


***สูตรที่เผยแพร่กันอยู่*** โดยนาย ป.

6:00 – 8:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูก ดื่มน้ำผลไม้ได้เช่นเดียวกับวันพุธ และพฤหัส หยุดดื่ม 15:00 น.

18:00 น. และ 20:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก อีก 2 มื้อ

22:00 น. ดื่มน้ำมันมะกอกประมาณ 150 – 200 cc ผสมน้ำมะนาว 150 – 200 cc และเกลือป่นครึ่งช้อนชา เขย่าให้เข้ากันให้มากที่สุด ดื่มให้หมดในเวลา 10 นาที (ส่วนใหญ่ 1 นาทีก็หมดแล้ว) แนะนำให้แช่เย็นเล็กน้อย ใส่แก้วใหญ่ๆ ดื่มติดต่อกันให้หมดในคราวเดียว การจิบทีละน้อยมักไม่สำเร็จ (ใช้มะขามเปียกคลุกเกลือป่นมาป้ายลิ้นก่อนและหลังดื่มน้ำมันมะกอกจะช่วยลด ความคลื่นไส้ ได้ดี)

6:00 – 8:00 น. กินดีเกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก เมื่อถ่ายอุจจาระให้สังเกตอุจจาระที่ถ่ายออกมา (ซึ่งเราเชื่อว่าจากการอดอาหารมาหลายวัน บวกกับการกินดีเกลือ (หรือสวนล้างลำไส้) ด้วย ไม่น่าจะมีอุจจาระตกค้างในสำไส้ของเราอีกแล้ว) ทุกสิ่งที่เราขับถ่ายออกมากน่าจะมาจากระบบท่อน้ำดี ในตับ, นอกตับ และถุงน้ำดี

สิ่งที่พวกเราเคยได้เห็นกันมีทั้งไขมัน, ตะกอนน้ำดี (bile salt) ไปจนถึงนิ่ว (stone) จากถุงน้ำดี ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นเหม็น กว่าอุจจาระปกติ ตลอดวันเสาร์ และอาทิตย์ อาจมีการถ่ายอุจจาระอีกหลายครั้งขึ้นอยู่กับการทำงานของลำไส้ในแต่ละคน


***วิธีการหลอก***

ไอ้เม็ดเขียวๆ ที่เห็นออกมาพร้อมกับอึ หลังจากทำ detox แบบนี้ จริงๆ ก็คือก้อน "สบู่" ที่เกิดจากน้ำมันมะกอกนั่นแหล่ะ เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างเอนไซม์ไลเปสในระบบย่อยอาหารกับไตรเอซีลกรีเซอร อลที่เป็นองค์ประกอบของน้ำมันมะกอก ทำให้เกิดกรดคาร์บอกซีลิกที่เป็นพันธะสายยาว (ส่วนใหญ่เป็น กรดโอเลอิก) กระบวนนี้ถูกกระทำต่อด้วยกระบวนการซาปอนิฟิเคชั่น จนกลายเป็นก้อนไขมันขนาดใหญ่ไม่ละลายน้ำของโพแทสเซียมคาร์บอกซีเลต เนื่องจากน้ำมะนาวมีโพแทสเซียมอยู่ในความเข้มข้นสูง ได้เป็นก้อน "นิ่วสบู่" ไม่ละลายน้ำ ส่วนสีเขียวๆ ก็มาจากน้ำดีนั่นเอง

(saponification คือ ปฏิกิริยาการสร้างสบู่ เมื่อเอาน้ำมันมาผสมกับด่าง แล้วกลายเป็นกรดไขมัน+กรีเซอรีน หรือสบู่นั่นเอง)

ที่นี้ก็ขึ้นกับว่ากินอะไรเสริมเข้าไปอีก เช่น น้ำมะนาว น้ำแอปเปิ้ล หรือสารต่างๆ มันก็จะได้สีแปลกๆ ยิ่งขึ้น ส่วนดีเกลือนั้น เอาไว้เป็นยาระบายให้ออกมาเร็วๆ แล้วรู้สึกสบายตัวสบายท้อง ร่วมกับการให้ไปอดอาหารซึ่งจะช่วยให้ร่าง กายหลั่งเอนดอร์ฟินออกมา หลอกให้เรารู้สึกสบายเข้าไปอีก

จุดจับผิดที่สำคัญอีกอย่างคือ ไอ้นิ่วสบู่เนี่ย มันลอยน้ำครับ (ถ้านิ่วจริง จะจมน้ำ)


จุดจับผิดที่เหลือ ได้แก่

- นิ่วสบู่เนี่ย ทิ้งไว้นานหรือโดนความร้อน มันจะละลายกลายเป็นก้อนน้ำมันเหนียวๆ .... สำนักพวกนี้ เค้าจะบอกเราให้แช่เย็นไว้ ถ้าอยากเก็บ

- นิ่วสบู่ รูปทรงจะบิดๆ เบี้ยวๆ ขณะที่นิ่วจริงมักจะกลมเพราะมันเสียดสีกันในอวัยวะนั้น

- นิ่วสบู่จะมันๆ ลื่นๆ นิ่มๆ ขณะที่นิ่วจริงจะแข็งมากๆๆๆ แตกยาก ผิวแห้งๆ ไม่ลื่น

- นิ่วจริงจะเอามีดมาหั่นไม่ได้ง่ายๆ ขณะที่นิ่วสบู่ หั่นได้ ดังรูป ซึ่งจะเห็นเป็นสีเขียว แสงผ่านได้ (นิ่วจริง ต้องทึบแสง)

เปรียบเทียบกับนิ่วจริง เวลาผ่าครึ่ง

อีกอย่าง นิ่วในถุงน้ำดีเนี่ย ขนาดประมาณ 5 มิลครับ ถ้าออกมาขนาด 2 เซน เป็น 10 ลูกอย่างที่ทำกันเนี่ย ถุงน้ำดีตัน หรือ แตกไปนานแล้ว


รูปนิ่วจริงในถุงน้ำดี

เรื่องยาสมุนไพรที่เค้าให้เราชงกินด้วยระหว่างทำการล้างพิษนี้ ซึ่งความจริงแล้วในยาสมุนไพรมีผง Psyllium husk ที่เป็นเส้นใยและเมือกสำหรับช่วยระบาย และน่าจะเป็นสาเหตุของ "ตะกัน" หลายๆ แบบที่ออกมาพร้อมกับก้อนนิ่วสบู่นั้นด้วย

มาถึงตรงนี้ผู้อ่านคงจะงงว่าควรเชื่อใครไม่เชื่อใครดี ผู้เขียนก็พบผู้ที่สรุปเอาทั้งสองด้านมาวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ ก็น่าสนใจดี

แม้สรรพคุณของการดีท็อกซ์ตับ ที่เล่าลือกันมาจะเลิศเว่อร์จนดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่จริง หรือไม่ดีนะ แต่ทำแล้วดีแค่ไหนวิธีง่าย ๆ มีไหม นพ.วัชชิระ ตีระพิพัฒนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ตรวจสุขภาพโรงพยาบาลปิยะเวท มีคำตอบ

ทุกวันนี้ร่างกายคนเรารับสารพิษต่าง ๆ เข้าไปมากมาย ทั้งยาฆ่าแมลง สารกันบูด สารปรุงแต่งในอาหารต่าง ๆ เหล้า บุหรี่ แม้แต่ยารักษาโรคที่กินเข้าไปก็ถือเป็นสารพิษชนิดหนึ่งเหมือนกัน และหน้าที่หนึ่งของ "ตับ" ก็คือทำลายสารพิษ ดังนั้น เมื่อร่างกายมีสารพิษเยอะ ตับก็ต้องทำงานหนัก เราจึงต้องหันมาใจดูแลอวัยวะชิ้นนี้กันสักหน่อย

หน้าที่ของตับมีมากมายหลายร้อยอย่าง หลัก ๆ ก็จะเกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีน เม็ดเลือด ฮอร์โมน และน้ำดีที่จะช่วยในการย่อยอาหารจำพวกไขมัน การทำลายสารพิษต่าง ๆ ที่รับเข้ามา รวมถึงของเสียที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง และการกักเก็บเลือด ไขมัน อาหารไว้ให้ร่างกายใช้ในยามจำเป็น ทำให้เราสามารถอดอาหารได้นานเป็นวัน ๆ

ถึงแม้ตับจะเป็นโรงงานทำลายสารพิษ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าตับเป็นแหล่งสะสมของสารพิษนะคะ คุณหมอวัชชิระ ชี้ว่า เมื่อสารพิษเข้ามาในร่างกายก็จะไปอยู่ในเลือด ไม่ได้คั่งอยู่ตับ เมื่อเลือดพาสารพิษเข้ามากำจัด ตับก็จะแปรสภาพให้เป็นของที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ถ้าเป็นสารที่ละลายน้ำก็จะขับออกทางไตระบายไปเป็นเหงื่อและปัสสาวะ แต่ถ้าเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำก็จะขับออกมาทางน้ำดี ผ่านมาทางลำไส้ใหญ่ ผสมปนออกไปกับอุจจาระ

ร่างกายเรามีระบบกำจัดของเสียอยู่แล้ว แต่การดีท็อกซ์ก็เป็นเหมือนตัวช่วยที่จะเร่งกระบวนการนี้ให้เร็วขึ้น และให้เวลาตับได้ทำลายพิษเก่า ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้เรารับสารพิษกันเข้าไปไม่หยุดหย่อน ในขณะที่ความสามารถของตับก็มีจำกัด เมื่ออัตราการทำลายไม่เท่ากับอัตราการรับ อาการเจ็บป่วยก็จะเกิดขึ้นได้

สูตร การดีท็อกซ์ตับที่พูดถึงกันอย่างมากในช่วงนี้เป็นสูตรที่ผู้คิดค้นคือ คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ได้ผสมผสานวิธีการล้างพิษในต่างประเทศกับภูมิปัญญาแพทย์แผ่นไทย มีการจัดเข้าแคมป์เพื่อดีท็อกซ์ตับโดยเฉพาะ กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 6 วัน หลักการสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ

1. ในช่วง 4 วันแรกอดอาหาร ดื่มเพียงเครื่องดื่มที่ไม่มีมาก และดื่มน้ำลิดท็อกซ์ (เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดหนึ่ง) แทนอาหาร

2. ทำการสวนล้างลำไส้จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรตกค้างแล้ว

3. ดื่มน้ำดีเกลือ และในช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้างที่สุดตามนาฬิกาชีวิต (22.00 น.) ให้ดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซี.ซี. ผสมน้ำมะนาว 150 ซี.ซี. และดีท็อกซ์ออกในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อในลำไส้ไม่มีสิ่งตกค้าง จึงเชื่อกันว่าสิ่งที่ออกมานั้นน่าจะออกมาจากตับและถุงน้ำดี

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีการนี้ก็เป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือกที่ได้ผลและ น่าสนใจ ถ้าวิเคราะห์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่พอจะบอกได้ถึงประโยชน์ของการทำดีท็อกซ์ตามสูตรดังกล่าว เรื่องแรกก็คือ ผลจากการอดอาหาร เมื่อเราไม่กินอาหารก็หมายถึงเราจะงดรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายไปโดยปริยาย เมื่อไม่มีพิษใหม่ ๆ ร่างกายก็จะกำจัดพิษตกค้างได้อย่างเต็มที่ เรื่องถัดมาก็คือ การดื่มน้ำมันมะกอก ทุกครั้งที่ร่างกายเราได้รับไขมัน ก็จะมีการส่งสัญญาณให้ตับผลิตน้ำดีออกมาเพื่อช่วยในการย่อย เมื่อ ดื่มน้ำมันมะกอกเข้าไปจำนวนมาก น้ำดีก็จะถูกผลิตออกมามาก และเนื่องจากตับจะขับสารพิษส่วนหนึ่งออกมาทางน้ำดี กระบวนการนี้จึงเหมือนกับเพิ่มการพาสารพิษออกจากร่างกายนั่นเอง อีกอย่างการที่น้ำดีถูกผลิตออกมามาก ๆ ยังทำให้ความเข้มข้นเปลี่ยนไป นิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากการตกตะกอนของคอเลสเตอรอลก็จะละลาย มีขนาดเล็กลง หรือหายไปได้

อ่านมาถึงตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านเองที่จะวิเคราะห์ว่าเชื่อหรือไม่อย่างไร ผู้เขียนได้แต่ค้นคว้ามาให้อ่านกันหลายๆด้าน

ผู้เขียนเองเห็นว่าการล้างพิษตับนั้นไม่จำเป็น สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ และการปล่อยวางไม่เครียด ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกว่าสิ่งอื่น ถึงแม้จะล้างพิษตับทุกเดือนแต่ไม่ล้างพิษที่อยู่ในใจ พิษนั้นก็จะทำลายร่างกาย จิตใจ ตลอดจนผู้อยู่ข้างตัวอยู่อย่างนั้นนั่นเอง