ดูเหมือนว่าเรื่องราวความรู้เรื่องของสุขภาพนั้น จะเป็นหัวข้อที่ผู้เขียนนำมาเขียนให้อ่านบ่อยที่สุด และก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านชอบอ่านมากที่สุดเท่าที่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา ครั้นเมื่อได้พบข้อมูลที่น่าสนใจ ผู้เขียนจึงมักจะหยิบมาแปลให้อ่านกัน เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ชีวิตจะมีความสุขได้ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และโรคภัยมากมายที่รุมล้อมชีวิตมนุษย์ของเรานั้น ส่วนมากเกิดจากความไม่เข้าใจ และความประมาทในการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เรียกง่ายๆว่าโรคภัยส่วนมากนั้นป้องกันได้ และเราควรถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจดีกว่าจะรอให้มันเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วต้องไปรักษาภายหลัง
สำหรับหัวข้อในฉบับนี้ที่นำมาเสนอนั้น เป็นเรื่องของสมองกับตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย กิจกรรมหรือความเคยชินของเรานั้น ทำลายสมองและตับโดยที่เราไม่รู้ตัว เริ่มต้นด้วยตัวการทำลายสมองสิบอย่างดังนี้
อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด คนส่วนมากมักจะไม่รับประทานอาหารเช้า ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะรีบร้อนและไม่มีเวลา บางคนนั้นไม่ชอบทานอาหารเช้า บอกว่ากระเพาะอาหารไม่รับอาหาร ดื่มแต่กาแฟ แล้วรอไปทบเอาตอนเที่ยงเลย การไม่ทานอาหารเช้าเป็นการทำลายตับ ทั้งนี้ก็เพราะจะทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะทำให้ขาดสารอาหารที่จะไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สมองฝ่อได้
๒.รับประทานอาหารมากเกินไปการรับประทานอาหารที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย เพราะตามใจปากนั้น นอกจากจะทำให้อ้วนน้ำหนักมากแล้ว ยังทำเกิดเส้นเลือดในสมองแข็งตัว และนำไปสู่ความถดถอยของเนื้อสมอง ทำให้สมองทึบไม่เฉียบคม
๓.สูบบุหรี่การสูบบุหรี่นอกจากจะมีผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้สมองหดตัวและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อมด้วย
๔.บริโภคน้ำตาลมากเกินไปการบริโภคน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกายทำให้ไปขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะการทำงานของสมองด้วย
๕.อากาศเสียสมองเป็นอวัยะที่ต้องการอ็อกซิเจนมากที่สุดในร่างกาย การหายใจเอามลภาวะทางอากาศเข้าไปทำให้เกิดภาวะขาดอ็อกซิเจนในสมอง ทำให้การทำงานของสมองบกพร่อง สังเกตุง่ายๆว่าเวลาอยู่ในที่ๆอากาศไม่ดีจะง่วงเหงาหาวนอน เช่นบนรถเมล์ที่รถติดๆในกรุงเทพฯ
๖.นอนไม่พอการนอนหลับเป็นการพักสมองที่ดีที่สุด การที่นอนหลับไม่พอเรื้อรังทำให้เนื้อสมองตายช้าๆ และนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมในที่สุด
๗.คลุมโปงเวลานอนหลับอย่างที่ได้อ่านมาแล้วว่าสมองต้องการออกซิเจนมาก การนอนคลุมโปงทำให้ได้รับแต่คาร์บอนไดออกไซด์หมุนเวียนกลับเข้าไปในร่างกาย ทำให้เซลสมองเสื่อมและตายในที่สุด
๘.ใช้สมองมากเวลาที่ป่วยในเวลาที่ร่างกายป่วยควรหยุดพักการใช้สมองเพราะในเวลาที่ร่างกายอ่อนแอและต้องการการฟื้นฟู สมองจะถูกทำลายได้ง่าย จึงควรหยุดพักการทำงานที่ต้องใช้สมองในเวลานั้น
๙.ขาดการกระตุ้นความคิดสมองก็คืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องการการออกกำลังกาย การออกกำลังกายของสมองนั้นคือการใช้สมอง หากเราไม่ใช้สมอง สมองก็จะหดตัวและไม่เฉียบคม มึนทึบ การฝึกบริหารความคิดโดยเฉพาะการบวกเลข การเล่นคำหรือเล่นเกมส์ฝึกสมอง เป็นการออกกำลังสมองให้สมองไม่เสื่อมง่าย
๑๐.พูดน้อยการได้สนทนาด้วยบทสนทนาที่มีประโยชน์และชาญฉลาดจะช่วยทำให้สมองเฉียบคมขึ้น หากขาดการสนทนาที่มีประสิทธิภาพ สมองจะไม่ได้รับการฝึกฝนและฝ่อในที่สุด
มาถึงเรื่องของตับกันบ้าง ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่มากมายที่จำเป็นต่อร่างกายอาทิเช่น การสะสมไกลโคเจน การสังเคราะห์โปรตีนในพลาสมา การกำจัดพิษของยา และปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆมากมาย ตับยังจัดเป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย โดยตับจะผลิตน้ำดี ซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการย่อยอาหาร
ต้นเหตุที่ทำให้ตับเสื่อมได้แก่ (ผู้เขียนแปลบทความนี้มาจากวรสารการแพทย์ ซึ่งบางข้อไม่มีข้ออธิบายจึงเขียนลงตามที่ได้อ่าน ปรารถนาว่าถ้ามีคำอธิบายที่ละเอียดบ้างก็จะดี ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมาณที่นี้)
๑.นอนดึกตื่นสายฮ็อทด็อกเป็นอาหารชั้นเลวมีไนเตรทส์สูง The Cancer Prevention Coalition แนะนำไม่ให้เด็กบริโภคฮ็อทด็อกเกิน ๑๒ อันต่อเดือน หากเลิกทานฮ็อทด็อกไม่ได้ให้เลือกประเภทที่ไม่มีโซเดียม ไนเตรท
๒.อาหารกระป๋องและเบคอนเช่นกันอาหารกระป๋องและเบคอนมีโซเดียม ไนเตรทสูงซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ นอกจากนี้ไขมันอิ่มตัวในเบคอนยังนำไปสู่การเกิดมะเร็งอีกด้วย
๓.โดนัทโดนัทเป็นสุดยอดอาหารก่อมะเร็ง ประการแรกมันทำด้วยแป้งขัดขาว น้ำตาล และน้ำมันไอโดรเจเนทท์ ทอดด้วยอุณหภูมิสูง ถือเป็นการรวมสุดยอดมะเร็งไว้ในอาหารชนิดเดียว
๔.เฟร๊นช์ฟรายเช่นเดียวกับโดนัท ขั้นตอนการผลิตเหมือนกัน แถมยังมีอนุพันธ์โลหะของแอมโมเนีย Acryl Amides ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
๕.มันฝรั่งทอด ขนมปังกรอบ และคุกกี้สุดท้ายคือบรรดาแป้งและน้ำตาล ถึงแม้ฉลากจะเขียนว่าไม่มี ทรานซแฟ็ท (Trans fat) ก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี หวังว่าคงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ระวังสุขภาพกันด้วยนะครับ