ไลฟ์สไตล์
จอมพล
The Secret

สัญญากันไว้ตั้งแต่ฉบับที่แล้วว่าจะเขียนเรื่องของหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของผู้เขียนให้เป็นคนใหม่ หนังสือสองเล่มที่ว่านี้คือ “The Secret” และ “The Power” ซึ่งเขียนโดยผู้เขียนท่านเดียวกันคือ รอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne) หนังสือเล่มแรกคือ เดอะซีเคร็ท ( ความลับ) เป็นหนังสือขายดีในปี ๒๐๐๖ ซึ่งเขียนจากภาพยนต์ชื่อเดียวกันที่สร้างเป็นดีวีดีในปี ๒๐๐๖ และเมื่อเดอะซีเคร็ทภาพยนต์ออกฉาย ได้สร้างความฮือฮาและกระแสตอบรับอย่างกว้างขวาง รอนดา เบิร์น ได้เขียนหนังสือออกตามมาและมียอดขายถึง ๑๙ ล้านเล่มนั่นคือหนังสือเรื่องเดอะซีเคร็ท แปลออกเป็นภาษาต่างๆถึง ๔๖ ภาษา และเป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนมากมายในโลกนี้ รวมถึงผู้เขียนด้วย

หนังสือเรื่องเดอะซีเคร็ทนี้ได้กล่าวถึงความลับที่มนุษยชาติรู้มาเป็นเวลานานมาแล้วในอดีตกาล บรรดาศาสดาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น คริสต์ศาสนา ศาสนาพุทธ มุสลิม เต๋า ยิว และอื่นๆต่างก็ค้นพบความลับในการใช้ชีวิตและสอดแทรกวิถีแห่งเดอะซีเคร็ทนี้ในคำสอนของตน มิใช่แต่เพียงศาสดาในศาสนา แต่นักปรัชญา นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในโลก หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้เลื่องชื่อ อย่างเช่น ไอน์สไตน์ ก็ค้นพบเดอะซีเคร็ทนี้ แล้วสร้างความสำเร็จให้กับตนเองมาแล้ว

เรื่องราวของเดอะซีเคร็ทนี้กล่าวถึง พลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวาลอันเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Law of Attraction” ในที่นี้ผู้เขียนจะขอเรียกพลังอำนาจนี้ว่า พลังแห่งความดึงดูด เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นผู้เขียนจะได้เปรียบเทียบง่ายๆว่า พลังแห่งจักรวาลหรือพลังแห่งความดึงดูดนี้ มีอยู่ในธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกับ แรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ กฏแห่งแรงดึงดูดที่ว่านี้มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์แนวใหม่อันได้แก่ Quantum Physic อันกล่าวถึงความจริงที่ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วยพลังงาน (Energies) ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว โลก ทะเล สรรพสัตว์ ต้นไม้ มนุษย์ หรือแม้แต่วัตถุต่างๆก็ประกอบขึ้นด้วยมวลหน่วยที่เล็กที่สุดคือพลังงานทั้งสิ้น ถึงแม้จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างคือคลื่นความถี่สูงต่ำแตกต่างกันไปตามมิติของมัน ในหนังสือใช้คำว่า Frequency

กฏแห่งแรงดึงดูดนี้กล่าวว่า สิ่งที่อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกันก็จะดึงดูดไปยังคลื่นความถี่ที่มีปริมาตรเท่าเทียมกัน เมื่อเราเข้าใจกฏๆนี้ เราก็จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิด และสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นเกิดขึ้นกับเราเพราะเราอยู่ในคลื่นความถี่นั้นๆ นั่นเอง และคลื่นความถี่ที่ว่านี้ก็เกิดจากตัวเราเองนั่นแหละที่สร้างมันขึ้นมาจากความคิดและความรู้สึกของตัวเราเอง

นั่นก็หมายความว่าความคิดของเราสร้างชีวิตของเราขึ้นมา ฉะนั้นหากเราส่งความคิดอันเป็นบวก (Positive) ชีวิตของเราก็จะดึงดูดเข้าหาสิ่งที่เป็นบวกเช่นกัน หากเราส่งความคิดของเราอันเป็นคลื่นความถี่ออกไปเป็นลบ (Negative ) ชีวิตของเราก็จะดึงดูดเข้าหาสิ่งที่เป็นลบเช่นเดียวกัน

และจากความเข้าใจในกฏของธรรมชาตินี้ สามารถทำให้เราควบคุม (Harness) พลังอำนาจในตัวเราที่จะสร้างทุกสิ่งที่เราปรารถนาให้เกิดขึ้นได้จริงกับชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ของครอบครัว และความสุขทุกอย่างที่เราปรารถนา ด้วยการควบคุมความคิดของเราให้คิดแต่ในสิ่งที่เป็นความสุขและความปรารถนา และหยุดคิดในสิ่งที่เราไม่ปรารถนา และเป็นความทุกข์

ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่าแล้วสิ่งที่เราปรารถนานั้นจะเกิดขึ้นได้จริงได้อย่างไร คำอธิบายก็คือ แรงดึงดูดที่เป็นพลังงานนี้จะดึงดูดสิ่งที่อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกันเข้าหากัน เช่นถ้าเราตื่นเช้าขึ้นมาเรากำลังอารมณ์ดีๆ แต่ปรากฏว่ามีเสียงสุนัขเห่าเสียงดังและทำให้เรารำคาญ เราก็จะเริ่มบ่นด่าสุนัข คลื่นความถี่ของเราก็เปลี่ยนจากคลื่นความถี่ของความสุข เป็นความรำคาญ จากนั้นเราก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งที่น่ารำคาญอื่นๆเข้าหาตัวเรา สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็จะเป็นความรำคาญที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพราะเราเองนั่นแหละที่ดึงดูดพลังเหล่านั้นเข้ามา ท่านผู้อ่านคงจะเห็นจริงด้วยว่า เมื่อเราประสบโชคร้ายสักอย่าง เราก็จะเจอแต่โชคร้ายไปทั้งวัน ทั้งนี้ก็เพราะเราเปลี่ยนคลื่นความถี่ของเราให้ดึงดูดสิ่งร้ายๆเข้าหาตัวเรา

ท่านผู้อ่านเคยเห็นคนโชคดีไหม ยกตัวอย่างเช่นเวลาไปเล่นการพนันที่คาสิโน คนที่โชคดี ก็จะโชคดีอยู่นั่นเอง นั่งตรงไหน เล่นอะไรก็จะได้แจ๊คพ็อตอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เป็นเพราะเมื่อโชคดี คนคนนั้นก็จะมีความสุข ส่งอารมณ์แห่งความสุขออกไป จึงเปลี่ยนความถี่ไปดึงดูดแต่ความสุขเข้าหาตัว

ฉะนั้นเราจึงต้องคอยตรวจความรู้สึกของตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ยามใดก็ตามที่เรารู้สึกมีความทุกข์ เราต้องรีบเปลี่ยนความคิดจากที่คิดในสิ่งร้ายๆ ให้เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทันที เพื่อยับยั้งคลื่นความถี่ของเราให้อยู่ในคลื่นที่ดึงดูดแต่สิ่งที่เราต้องการให้เข้ามาสู่ตัวเรา

ในหนังสือทั้งสองเล่มคือเดอะซีเคร็ท และเดอะพาวเวอร์ ซึ่งเป็นตอนต่อของเดอะซีเคร็ท ได้บรรยายอย่างละเอียดในการที่จะระงับพลังงานลบและส่งเสริมแต่พลังงานบวกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ ความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน หรือความสุขและความปรารถนาในชีวิต

ใจความตอนหนึ่งที่หนังสือได้กล่าวถึงความร่ำรวยว่า มนุษย์ในโลกนี้มีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ร่ำรวย และเรามักจะมีความเชื่อว่าคนรวยเป็นคนเห็นแก่ตัว คนรวยเป็นคนงกจึงได้รวย ความข้อนี้ไม่ได้อธิบายว่าคนรวยเป็นคนดีหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นจริงคือคนรวยรักความร่ำรวย และส่งความปรารถนาของความร่ำรวยนี้ออกไปเป็นพลังงานที่ดึงดูดความมั่งคั่งให้เข้ามาหาตัว คนจนมักจะมีความคิดเกี่ยวกับการเงินของตัวเองไปในทางที่ลบ เช่นเมื่อต้องจ่ายบิลที่ส่งมา ก็จะรู้สึกไม่ดีและรู้สึกไม่อยากจ่ายเงินนั้น เพราะรู้สึกว่าต้องควักกระเป๋าที่มีเงินน้อยอยู่แล้วออกไป ถ้าเรามีเงินเพียงพอเราก็จะไม่รู้สึกอะไรในการต้องจ่ายบิลนั้นเพราะเรายังมีเงินอีกมาก การส่งความคิดในทางลบออกไปนี้ก็จะดึงดูด ความยากแค้นให้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความคิดในทางที่รู้สึกดีกับเงินก็จะดึงดูดความมั่งเข้ามาหาตัว

ในหนังสือได้กล่าวว่า ถ้าเราเอาเงินของคนทั้งโลกนี้มารวมกันแล้วแบ่งแจกให้ทุกๆคนในโลกเท่ากัน ในเวลาไม่นานเงินก็จะกลับไปหาคนกลุ่มน้อยที่รักในเงินนั้นเหมือนเดิมนั่นเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องควบคุมความคิดของเราให้เป็นไปแต่ในทางบวก ในหนังสือได้กล่าวว่าหากเราปรารถนาความร่ำรวยเราก็ต้องเชื่อว่าเราคือคนรวย วาดมโนภาพในใจว่าเราเป็นคนรวย เรามีเงินตามที่เราต้องการไม่ว่าจะมากมายสักเพียงไหนก็ตาม แต่เราต้องจินตนาการและเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเงินที่เราต้องการนั้นเราจะได้มันมา

เราไม่จำเป็นที่จะต้องคิดว่าจะได้เงินมาได้อย่างไร เพียงขอให้เชื่อ แล้วคลื่นความถี่ของเราก็จะเปลี่ยนไปและดึงดูดหนทางที่จะได้เงินตามที่ปรารถนานั้นมาได้เอง ผู้เขียนชอบที่เขาเปรียบเทียบว่า ความเชื่อที่ว่านี้ก็เปรียบเหมือนการขับรถไปตามทางในเวลากลางคืน เราเปิดไฟหน้าซึ่งจะส่องทางไปได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองร้อยฟุต แต่ถ้าเราเชื่อว่าถนนนี้จะพาเราจากแอลเอไปถึงนิวยอร์คได้ ถ้าเราเชื่อแล้วเราก็ขับไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะไปถึงนิวยอร์คได้เอง

การเปลี่ยนแนวความคิดให้คิดแต่ในเชิงบวกนี้ สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต อย่างเช่นเรื่องของสุขภาพ การแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าสุขภาพของเรานี้เกิดขึ้นจากความคิดของเรานั่นเอง ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เราก็จะมีสุขภาพแข็งแรง ถ้าเราบอกกับตัวเองว่า ฉันแพ้ขนแมว ฉันแพ้นม ฉันต้องเป็นมะเร็งแน่ๆ หรือเมื่ออายุสี่สิบฉันจะมีสายตายาว เช่นนี้ สิ่งที่เราเชื่อและบอกกับตัวเองก็จะเกิดขึ้นกับเรา ในหนังสือได้ยกตัวอย่างของยาปลอม หมอให้ยาแก่ผู้ป่วยสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นยาจริง กลุ่มที่สองเป็นยาปลอม ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่รู้ว่าตนได้ยาจริงหรือยาปลอมและไม่รู้ว่านี่คือการทดลอง เมื่อหมอให้ยามาก็นำไปกิน ปรากฏว่ากลุ่มคนไข้ที่ได้ยาปลอมก็มีอาการดีขึ้นเหมือนคนที่ได้ยาจริง จากการทดลองนี้ทำให้รู้ว่า จิตของเราที่เราบอกตัวเองนั้นสำคัญที่สุด เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นรักษาตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงปานใด ร่างกายอันมหัศจรรย์ของมนุษย์นี้แท้ที่จริงขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อของเรานี้เอง ถ้าเราเชื่อว่าเราจะต้องตายเราก็จะตาย ถ้าเราเชื่อว่าเราจะหาย เราก็จะหายนั่นเอง

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดของเรานั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ ในหนังสือให้ใช้จับที่ความรู้สึก ถ้าเรารู้สึกดีมีความสุขแปลว่าเราคิดเชิงบวก ถ้าเรารู้สึกไม่ดี หงุดหงิด โกรธ โมโห เศร้า เสียใจ แปลว่าเรากำลังมีความคิดในเชิงลบ เราจะรู้ได้ว่าความคิดที่เป็นเชิงบวกนั้น คือความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความรัก ถ้าเรามีความรักในสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นจะเป็นความคิดในเชิงบวกทั้งสิ้น เช่น เรารักงานที่เราทำ เรารักที่จะร้องเพลง เรารักที่จะทำอาหาร เรารักที่จะเดินเล่น เรารักหมาของเรา เรารักผมของเรา ทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเรารัก เราชอบ จะเป็นสิ่งที่เป็นบวกทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะพลังงานของความรักเป็นพลังงานที่สูงที่สุดในจักรวาลและจะดึงดูดแต่สิ่งที่ดีๆเข้าหาตัวเรา

ในขณะเดียวกันถ้าเราบอกว่าเรารักสามีของเรา เราไม่ต้องการให้สามีนอกใจ เราต้องการให้สามีกลับบ้านให้ตรงเวลา เราต้องการให้สามีรักเราเอาอกเอาใจเรา ความรักที่เกิดจากการพยายามควบคุมคนอื่นไม่ใช่ความรักแต่เป็นพลังทางด้านลบ เราก็จะดึงดูดแต่พลังงานในด้านลบเข้าหาเรา ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ของเราก็จะไม่ดีและมีแต่ปัญหาเช่นนี้เป็นต้น

หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นไปในทางที่ดี เราต้องคิด พูด ทำและเชื่อแต่ในสิ่งที่เป็นบวกและเป็นความรัก แล้วเราก็จะดึงดูดแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามาหาเรา

หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราให้ดีขึ้น เราต้องหยุดคิดถึงสิ่งที่ร้ายๆและคิดแต่ในสิ่งที่ดี พลังงานที่สูงกว่าความรักคือพลังงานที่เรียกว่าความกตัญญู (Gratitude) และพลังแห่งความกตัญญูนี้เองที่จะเปลี่ยนคลื่นความถี่ในชีวิตเราให้สูงขึ้นและอยู่ในระดับเดียวกับความรักและความกตัญญู (Love and Gratitude)

ความกตัญญูที่ว่านี้ไม่ได้หมายความถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณเช่นบิดามารดาเท่านั้น แต่เป็นความกตัญญูต่อความสุขที่เราได้รับจากสิ่งรอบตัวของเรา ในหนังสือใช้คำว่า “I am grateful for….” เช่นเมื่อเราตื่นนอนขึ้นมาเราก็ขอบคุณที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ เมื่อเราลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เราเปิดก๊อกน้ำมีน้ำไหลออกมา เราก็ขอบคุณที่มีพนักงานของการประปาที่ทำน้ำสะอาดให้ไหลมาตามท่อ เมื่อเราชงกาแฟดื่ม เราก็ขอบคุณชาวไร่ที่ปลูกกาแฟทำให้เรามีกาแฟดื่ม จะเห็นได้ว่าเราสามารถรู้สึกขอบคุณได้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และกระแสพลังงานแห่งการรู้คุณ และขอบคุณนี้จะยกเราให้ขึ้นอยู่ในมิติของกระแสแห่งความสุขและดึงดูดแต่สิ่งดีๆเข้าหาเรา

และเมื่อเราเกิดความรู้สึกในทางลบไม่ว่าจะเป็น ความโกรธ ความเกลียด ความริษยา ความพยาบาท ความเบื่อหน่าย หรืออื่นๆ เราก็จะต้องหยุดความคิดนั้น และเปลี่ยนสวิทซ์ความคิดไปในสิ่งที่เราจะสามารถขอบคุณได้เช่น เมื่อมีคนขับรถปาดหน้ารถเราจนเราต้องเบรคจนตัวโก่ง แทนที่จะตะโกนด่าคนขับรถนั้น ให้เราแสดงความขอบคุณว่าโชคดีที่เราเบรครถทันไม่ต้องเกิดอุบัติเหตุ ขอบคุณพลังจักรวาล ขอบคุณ ขอบคุณและขอบคุณ การนี้เราจะเห็นได้ว่าเรารักษาคลื่นบวกในความคิดของเราให้ดำรงอยู่ในระดับกระแสเดิม ไม่เปลี่ยนไปตามแรงโมหะที่เกิดขึ้น เราจึงไม่ต้องดึงดูดสิ่งร้ายๆให้เข้ามาหาตัวเรา

การฝึกฝนกฏแห่งแรงดึงดูดนี้จะทำให้เราเฝ้าระวังความคิดและการกระทำของเราให้เป็นไปในทางบวกเสมอ ผู้เขียนนั้นได้ฝึกฝนและเห็นผลที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างอัศจรรย์ เมื่อผู้เขียนได้เรียนรู้กฏแห่งแรงดึงดูดนี้แล้ว ผู้เขียนก็เปลี่ยนชีวิตของตนไปอย่างที่คนรอบข้างเห็นได้ชัด

สิ่งที่ผู้เขียนฝึกฝนคือการมอบความรักอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนให้กับทุกสรรพสิ่งในโลก รักอย่างเต็มหัวใจ รักตัวเอง รักผู้อื่น รักแม้แต่ศัตรู รักผู้คน แม้คนแปลกหน้า คนยากไร้ คนร่ำรวย สัตว์น้อยใหญ่ ธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา โลก ดวงดาว และจักรวาล การนี้ชีวิตของผู้เขียนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความทุกข์แม้ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไรเข้ามาในชีวิตก็ตาม

ข้อเขียนบทความนี้มีเนื้อที่จำกัด และอธิบายใจความไม่ครบถ้วน และออกจะเข้าใจได้ยากสักหน่อย ผู้เขียนแนะนำให้ท่านผู้อ่านอ่านหนังสือทั้งสองเล่มหรือดูหนังเรื่องเดอะซีเคร็ท จะได้เข้าใจได้มากขึ้น และผู้เขียนรับรองว่า เมื่อท่านได้อ่านหรือดูหรือฟังแล้ว ท่านจะไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไป

ผู้เขียนเป็นพุทธมามกะ และเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแน่วแน่ กฏแห่งแรงดึงดูดนี้ตรงกับคำสอนในพระพุทธศาสนาทุกประการ ถึงแม้ว่าคำสอนของพระพุทธองค์จะลึกซึ้งกว่ากฏแห่งจักรวาลนี้มาก เพราะพระพุทธองค์ทรงแนะแนวทางที่จะหลุดพ้นไม่วนเวียนอยู่ในกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นความสุขสูงสุดและละเอียดอ่อน พระพุทธองค์ทรงใช้กฏแห่งจักรวาลนี้ในคำสอนของพระองค์ท่านเช่นเดียวกัน

ในฐานะที่ผู้เขียนยังไม่สามารถปฏิบัติให้ลึกซึ้งได้ในคำสอนของพระพุทธองค์ การฝึกฝนเตรียมตนเองให้เข้าใจในกฏแห่งจักรวาลก็จะเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ให้งดงามและเปี่ยมไปด้วยความสุขเพื่อการฝึกฝนที่ลึกซึ้งต่อไปในเบื้องหน้า