ไลฟ์สไตล์
จอมพล
สวัสดีปีใหม่ ไชโยรถคันแรก

อีกไม่กีวันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ ๒๕๕๖ กันแล้ว ไชโยโห่ฮิ้วที่รอดตายปี ๒๐๑๒ กัน เสียใจด้วยสำหรับคนที่เบิกเงินเอามาเที่ยวกินจนหมดเพราะคิดว่าโลกจะแตกวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๐๑๒ ปรากฏว่าโลกยังอยู่เหมือนเดิม กลายเป็นมีหนี้ท่วมตัวต้องทนต้องอยู่กันต่อไป

ตอนนี้ไปไหนมาไหนในเมืองไทย ใครๆก็พูดถึงกันแต่นโยบายรถคันแรก ที่ถือเป็นของขวัญที่รัฐบาลแจกให้กับคนชั้นกลางที่จะมีโอกาสได้ซื้อรถคันแรกมาใช้ขับโก้ ไม่ต้องขี่มอร์เตอร์ไซด์หรือขึ้นรถเมล์ให้เหงื่อไหลใคลย้อยกันอีกต่อไป ผู้เขียนเองเป็นคนกรุงเทพฯและอยู่กรุงเทพฯมาแต่เกิด ก็ตระหนักดีว่าถ้าไม่มีรถขับอยู่กรุงเทพฯนั้นลำบากลำบนเพียงใด จะว่าไประบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯนั้นก็ยังดีกว่าที่แอลเอนี้มากนัก ด้วยมีทางเลือกหลายทาง จะขึ้นรถเมล์ก็มีมากสายเดี๋ยวมาเดี๋ยวมา บางคันก็ขึ้นฟรี บางคันก็ต้องจ่ายแต่ก็ไม่แพง นอกจากนี้ยังมีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน มีแท๊กซี่วิ่งไปมาถึงจะไม่ค่อยยอมไปที่เราจะไปแต่ก็ไม่ต้องโทรฯเรียกเหมือนแอลเอ นอกจากนี้ยังมีมอร์เตอร์ไซด์ให้ฉลิวไปไหนมาไหนรวดเร็วทันใจโดยมีเงามัจจุราชโฉบตามไปติดๆ

ความจริงเรื่องของนโยบายรถคันแรกนี้มีมาแต่เดือนกันยายนแล้ว ผู้เขียนเป็นพวกตกข่าว อยู่แต่แอลเอก็ไม่ค่อยตามเรื่องราวของเมืองไทยเท่าไรนัก เมื่อได้ไปเมืองไทยจึงรู้ว่าเขาตื่นเต้นกันแทบตาย ใครๆก็จะซื้อรถกันทั้งนั้น ความจริงถ้าเอามานั่งคิดดีๆ ก็จะพบว่า คนที่พอมีปัญญาซื้อรถได้นั้นก็จะพากันตะเกียกตะกายซื้อรถกันไปหมดแล้ว เงื่อนไขของการคืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทของรัฐบาลที่จะให้คืนนั้น ผู้ซื้อต้องไม่เคยซื้อรถมาก่อน แล้วต้องมีเครดิตดีพอที่จะกู้สถาบันการเงินได้ คือพูดง่ายๆมีเงินเดือนที่มั่นคงนั่นเอง แล้วราคารถก็ต้องไม่เกินหนึ่งล้านบาท ซึ่งก็คือรถขนาดเล็ก เศรษฐีก็ไม่อยากขับอยู่แล้ว คนที่ซื้อมาแล้วก็ใช่ว่าจะได้เงินทันทีหลังการซื้อขาย แต่จะต้องผ่อนไปจนครบหนึ่งปี รัฐบาลจึงจะส่งเช็คมาให้ ลองมาคิดเล่นๆว่าถ้าอย่างนั้นคนประเภทไหนที่จะเข้าในโครงการนี้บ้าง แน่นอนคนที่อยากมีรถจริงๆ ต้องการใช้รถจริงๆก็คงจะมีประเภทหนึ่ง ที่เหลือส่วนมากคือพวกที่เคยมีแล้วใช้ชื่อคนอื่นซื้อ ซื้อมาแล้วไม่มีเงินผ่อน หลังจากรับเช็คหนึ่งแสนแล้วก็ปล่อยหนี้เสีย พวกที่งกเห็นว่าเป็นโอกาสที่ตัวเองจะได้รับเงินแสนก็พยายามหาชื่อคนในบ้านมาช่วยซื้อให้เพราะตัวเองก็มีรถแล้ว ลองนึกไปดูว่าปีหน้าฟ้าใหม่การจราจรในกรุงเทพฯจะเป็นอย่างไร ว่ากันว่าจะมีรถเพิ่มบนถนนในกรุงเทพฯกว่าล้านสองแสนเจ็ดหมื่นคัน ลองจินตนาการดูกันเอาเองว่ากรุงเทพฯจะอยู่ในสภาวะเช่นไร ต่อให้มีละครแบบแรงเงาทุกวันก็คงจะช่วยไม่ได้

นโยบายรถคันแรกนี้ได้รับการต่อต้านจากหลายสถาบันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน องค์กรต่างๆ หรือแม้แต่ประชาชนโดยรวมในวงกว้าง ลองมาฟังความคิดเห็นของฝ่ายค้านกันบ้างดังนี้

“นายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบาย รถคันแรกของรัฐบาลว่า นโยบายดังกล่าวเป็นการเร่งทำนโยบายที่หาเสียงไว้กับชนชั้นกลาง

เป็นการทำในลักษณะขายผ้าเอาหน้ารอดเพราะเน้นแก้ไขปัญหาของพรรคเพื่อไทย แต่กลับสร้างปัญหาที่เป็นผลกระทบมากมายอีกตามมา ทั้งการเพิ่มหนี้ของชาวบ้านที่ต้องกู้เงินมาซื้อรถเพราะเห็นราคาถูกจากการลด ภาษี โดยรัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 500,000 คัน เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว

ดังนั้นจึงอยากถามว่า ขณะนี้ประเทศไทยรถยังติดไม่พออีกหรือ หากเปรียบเทียบรถมี 3 ส่วน ถนนมี 1 ส่วนคนออกรถมาก็ไม่มีถนนให้วิ่งดูได้จากหน้าเทศกาลสงกรานต์ เทศกาลปีใหม่ ที่รถติดทั้งสายอีสานและสายเหนือทั้งวันทั้งคืน ซ้ำยังกระทบต่อนโยบายพลังงานทางเลือก กระทบต่อตลาดรถมือสอง

นอกจากนี้นโยบาย รถคันแรก ถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ว่ามีผลประโยชน์ทับ ซ้อนหรือไม่ หนำซ้ำซื้อมาแล้วก็ต้องรอ 5 ปีถึงจะโอนเป็นชื่อของตัวเองได้ หากในช่วงปีที่ 2-3 ผู้ซื้อไม่มีเงินส่งรถ รถถูกยึดขายทอดตลาดแต่รัฐบาลได้ชดเชยเงินให้แล้วคันละ 100,000 บาท ถามว่าใครจะรับผิดชอบ

เงินงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนที่นำมาใช้ในโครงการนี้ที่ตั้งไว้ 30,000 ล้าน ทั้งหมดเหมือนการเพิ่มหนี้ให้ประเทศทั้งที่ทั่วโลกกำลังเกิดวิกฤตปัญหา เศรษฐกิจทั้งทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่รัฐบาลนี้กำลังส่งเสริมให้ประชาชนสร้างหนี้ด้วยนโยบายลดแลกแจกแถม หากต้องการแก้ไขปัญหาคมนาคมทำไมไม่นำงบประมาณส่วนนี้ไปปรับปรุงระบบขนส่งราง คู่ ที่เน้นให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งมวลชนเพื่อแก้ไขปัญหารถติด และลดการเผาพลาญเชื้อเพลิง”

อ่านแล้วก็ถอนใจเฮือก เพราะผู้เขียนก็คิดเหมือนกัน ยิ่งมาได้ดูโพสต์ข้อความที่แพร่กระจายอย่างมากในอินเตอร์เน็ท หรือในเฟสบุ๊ค ก็ยิ่งพาให้เศร้าใจ ลองมาดูข้อความที่น่าสนใจที่อ้างว่าคนญี่ปุ่น (ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่อย่างไร) ให้ความเห็นในเรื่องนี้กันดังนี้

“งง! รัฐบาลแจกรถ แทนที่จะพัฒนาขนส่งสาธารณะ

ในหน้าเพจเฟสบุ๊ค @ดัชนีปากท้องคนไทย ได้โพสต์ข้อความ พร้อมภาพประกอบที่ชวนคิดเกี่ยวกับ นโยบายรถคันแรกรัฐบาล ที่อ้างว่ามาจากมุมมองของชาวญี่ปุ่น

แสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่างประกอบหากนำเม็ดเงินลงทุนโครงการไปปรับปรุงระบบ คมนาคมของไทยจะได้อะไรบ้าง โดยระบุว่า

เมื่อวานได้พูดกับชาวญี่ปุ่นที่ทำงานให้รัฐบาลญี่ปุ่นในไทย สนทนาเรื่องรถในประเทศเราเขาถามว่าทำไมผู้บริหารคุณถึงอยากให้คนใช้รถเยอะๆ เขาคิดให้แทนเล่นๆ….

ข่าวนโยบายรถคันแรกตอนนี้ทะลุ 910,000 คัน สถิติอยู่ที่ 30,000 คันต่อวัน ดังนั้นนั้นครบกำหนดสิ้นปีนี้จะมีรถเข้าโครงการ 1,270,000 คัน คันละ 100,000 บาท เป็นเงินที่รัฐควรจะได้ 127,000 ล้านบาท ..เขาก็วาดให้ดูว่าทำไรให้ประเทศคุณได้มั่ง


- รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินใต้ หัวลำโพง-บางแค-พุทธมณฑลสาย4 49,902 ล้านบาท
– รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเหนือ บางซื่อ-ท่าพระ 25,101 ล้านบาท
– รถไฟฟ้าสายส้มศูนย์วัฒนธรรม-บางกระปิ 55,000 ล้านบาท
– สามารถทำสนามบินสุวรรณภูมิได้อีก1แห่ง
– รถไฟความเร็วสูงได้ทั้งประเทศเลย
– สามารถทำให้เยาวชนเรียนอนุบาลถึง ป.ตรี ฟรีได้อีก5-10 จากนี้”

ข้อความก็จบลงห้วนๆดังนี้ หาที่มาที่ไปไม่ได้ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก ยกเว้นแอลเอที่ขนส่งมวลชนแย่ที่สุด ล้วนแล้วแต่สนับสนุนการขนส่งมวลชนที่ขนคนไปได้ทีละมากๆ เขาพยายามที่จะให้มีการลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด ที่ทำงานของผู้เขียนนั้นถึงขนาดที่ว่า ผู้ที่มาทำงานด้วยการใช้รถคาร์พูล คือมากันหลายคน จะได้ที่จอดที่ใกล้ทางเข้าที่สุด ผู้ที่ใช้รถประหยัดพลังงานเช่นรถไฟฟ้าหรือรถยนต์กึ่งไฟฟ้าก็จะมีที่จอดสำรองให้โดยไม่ต้องวนหาที่จอด ผู้ที่มาทำงานโดยใช้รถเมล์ หรือจักรยานหรือเดินมาจะได้ลงชื่อแล้วหยอดไว้ในกล่อง พอครบหนึ่งเดือนเขาจะจับสลาก จับได้ชื่อใครคนนั้นจะได้เช็ค ๑๐๐ เหรียญ นี่เป็นการสนับสนุนการให้คนเดินทางมาทำงานด้วยการประหยัดพลังงาน ในเมืองใหญ่ๆเช่นนิวยอร์ค ชิคาโก หรือซานฟรานซิสโก จะแบ่งเป็นโซนสำหรับห้ามนำรถเข้ามาวิ่ง นั่นคือการให้คนจอดรถไว้ที่จอดใหญ่ๆนอกเมืองแล้วใช้ขนส่งมวลชนเข้ามาในเมือง แก้ปัญหารถแออัดในตัวเมืองใหญ่ แต่ที่เมืองไทยเราทำอะไรตรงกันข้ามกับชาวบ้านชาวเมืองโลกเขาหมด ด้วยการคิดนโยบายที่สิ้นเปลืองเงินภาษีรัฐบาลอย่างไร้สาระ และสนับสนุนให้คนฟุ้งเฟ้อและมีหนี้สินเพิ่มพูน

การที่ประเทศจะเจริญก้าวหน้าได้นั้น ประชาชนในประเทศต้องรู้จักการเก็บออม รู้จักการใช้เงินในทางที่ควรหรือไม่ควร รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ประชาชนวางแผนการเงินในอนาคต มีการออมทรัพย์เพื่อใช้ในยามแก่เฒ่า สอนประชาชนให้รู้จักการใช้เงินให้เป็น การใช้เงินในอนาคตเช่นการใช้บัตรเครดิต หรือการกู้หนี้ยืมสิน เป็นการใช้เงินผิดประเภท ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศมีหนี้สินรุงรัง ถึงแม้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วประชาชนก็จะล้มละลาย เศรษฐกิจที่รุ่งเรืองอย่างจอมปลอมก็จะพังพินาศลงไปในที่สุด นโยบายรถคันแรกจึงตรงกันข้ามกับพระราชดำรัสพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอย่างตรงกันข้าม ทำให้เห็นว่าผู้นำประเทศไทยในขณะนี้กำลังดำเนินนโยบายที่สะเปะสะปะ หวังเอาแต่คะแนนเสียงของประชาชนที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ เหมือนนโยบายโยนกระดูกให้สุนัข เพื่อที่ตัวเองจะได้กินเนื้อชิ้นใหญ่ แล้วพวกหมาแมวจะได้ไม่มาเห่าหอนให้กวนใจ

การขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพอย่างการสร้างรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ตลอดจนรถไฟความเร็วสูงมีความจำเป็นอย่างมากในประเทศไทย ยิ่งขนส่งมวลชนสะดวกเท่าใด คนก็จะไม่ใช้รถมากขึ้นเท่านั้น แก้ปัญหารถติด มลภาวะ และเชื้อเพลิงอย่างถาวร น่าเสียดาย และน่าเสียใจที่ผู้บริหารประเทศในรัฐบาลชุดนี้ต่างพากันมองข้าม และกลับสนับสนุนสิ่งจอมปลอมและไม่มีประโยชน์อย่างถาวรเช่นนโยบายรถคันแรกนี้ออกมา

จะร้องแรกแหกกระเชิงปานใด นโยบายนี้ก็ออกมาแล้ว นั่งมองตาปริบๆด้วยความเศร้าใจ ผ่านมาจนถึงปีใหม่ ยิ่งมองอนาคตของประเทศไทย แล้วยิ่งไม่เห็นแสงสว่างในอุโมงค์ที่มืดมน ไร้ซึ่งหนทางจะพัฒนา เรามีนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางแนวทางบริหารจัดการประเทศ ให้เจริญอย่างยั่งยืนด้วยตนเอง แต่ไม่มีผู้บริหารนำพระราชดำริไปใช้ แล้วก็แต่งตัวเต็มยศออกมางานกาล่าดินเนอร์เทิดพระเกียรติ เปล่งเสียง รักในหลวง รักในหลวง ทรงพระเจริญ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในใจหาได้คิดน้อมนำพระราชดำริมาปรับใช้ไม่ เศร้าใจและเสียใจไปกับประเทศบ้านเกิดที่กำลังดิ่งลงเหวอย่างไม่มีวันดึงขึ้นมาได้

ปีใหม่อีกกี่ปีหนอ ที่คนไทยจะตาสว่างกันเสียที หรือจะต้องรอให้ประเทศชาติล่มจมไปเสียก่อนจึงค่อยมารู้สึกตัวว่าโง่ดักดานให้เขาเสียมเขามากี่ปีแล้ว เขียนไปแบบนี้ก็คงจะมีคนเอาไข่เน่ามาปาหัวผู้เขียน ก็เถิด ไม่ว่ากัน ผู้เขียนก็มีแรงอยู่แค่นี้ ใช้สื่อเล็กๆตรงนี้ส่งความรู้สึกไป มันคงจะไม่มีผลอะไรเพราะประเทศไทยที่รักก็อยู่ในเงื้อมมือเขา ต้องรอให้เขากอบโกยกันไปจนอิ่มเสียจึงจะสาใจ

ปีใหม่นี้จึงขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยส่งอัศวินม้าขาวเก่งๆดีๆสักคนมาช่วยประเทศไทยจากหลุมมืด ให้ประเทศไทยได้คนดีๆมาปกครองประเทศเสียที สาธุ