คนเพียงไม่กี่คน ก็สามารถทำให้ประเทศไทยวุ่นไปได้ทั้งประเทศ แบบไม่มีขอบเขตว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดกันสักที
แนวทางการปรองดองของกรรมาธิการวิสามัญ ชื่อฟังแล้วโก้หรูน่าดู แต่เบื้องหลังความสวยงามนั้น มีสาระพัดสิ่งสาระพัดอย่างเกิดขึ้น
อย่างผลการศึกษาแนวทางปรองดอง ของกรรมาธิการวิสามัญชุด "บิ๊กบัง" พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ดูท่าจะวุ่นวายที่สุด
ซัดกันไปซัดกันมา โห่ฮากันอย่างสนุกลั่นสภา
ที่หนักหนากว่านั้น ก็ตรง ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ฮือเข้าไปล้อมกรอบ บิ๊กบัง กดดันให้ถอนญัตติ พิจารณารายงานปรองดอง
ใครต่อใครก็คาดกันไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะต้องตั้งป้อมขวางแนวทางปรองดองของพล.อ. สนธิ
ส.ส. ประชาธิปัตย์ 9 คน เพิกถอนตัวออกจาก กมธ. ปรองดองไปหมาดๆ แล้วก็มาซัดกันกลางสภาฯ อย่างที่เห็น
คนเราถ้าคิดจะปรองดองกันแล้ว ก็ต้องเข้าใจกัน ต้องมีความเสียสละ และที่สำคัญที่สุดคือต้องให้อภัยต่อกัน และให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
แต่ทุกวันนี้ การปรองดองล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฝ่ายหนึ่งเร่งรีบรวบรัดเกินไปจนเป็นที่ข้องใจของประชาชน
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คิดมากจนเกินเหตุ เลยเถิดไปถึงการนิรโทษกรรมให้คนๆ เดียว
หลังจากโดนล้อมกรอบในสภา พล.อ.สนธิ แจงว่า
"เห็นบ้านเมืองมีความแตก แยกครั้งแล้วครั้งเล่า วันที่ 19-20 ก.ย.2549 บ้านเมืองแตกแยกจะฆ่ากัน ผมเอาคอพาดอยู่บนเขียง ถามว่าใครรับผิดชอบ ความ ขัดแย้งครั้งนั้นต่อเนื่องมาถึงวัน นี้ ผ่านมา 5 นายกฯก็ยังขัด แย้งกันอยู่...ผมอยากเห็นบ้าน เมืองเดินไปข้างหน้าด้วยความ ปรองดอง ทุกสิ่งที่ทำอยากเห็น ประเทศไทยดี"
ก่อนที่ พล.อ. สนธิ จะตอบท้ายว่า "ท่านหัวหน้าฝ่ายค้าน ผมเคารพรักท่าน ฝ่ายค้านทุกคนรู้ดีว่า ผมรักท่านมากแค่ไหน"
เป็นคำพูดที่จับใจ ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงเสียตัวให้กับ บิ๊กบังไปแล้ว
น่าเห็นใจ บิ๊กบัง นะ เคยทำให้เพื่อนได้รับประโยชน์จากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 จนได้ตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร
สุดท้ายการได้รับการตอบแทนจากเพื่อนมาร์คแบบนี้นะหรือ