เปิดเบิ่ง

วิรัช โรจนปัญญา
เปิดเบิ่ง วันที่ 18 กรกฎาคม 2558

เห็นชีวิตคนแก่อเมริกัน แล้วเศร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน พอแก่ตัวลงก็มีชีวิตที่เหงาหงอยเศร้าสร้อยน่าเวทนา เพราะต้องอยู่ลำพังเพียงคนเดียว ขาดคนเหลียวแล ไม่มีแม้แต่ลูกหลาน ที่จะมาคอยให้กำลังใจหรือดูแลในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ผลสุดท้ายก็นอนตายตามลำพังอย่างน่าอนาถ

นั่นเป็นเพราะ ประเพณีของคนอเมริกันเป็นเช่นนี้ พอลูกอายุครบ 18 ปี ก็จะต้องออกไปผจญโลกด้วยตัวเอง หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของครอบครัวก็เริ่มห่างเหินกันไป บางทีไกลกันจนแทบไม่เคยเห็นหน้ากันอีกเลย

ตอนลูกชายผมอายุ 13 ปี ผมกับภรรยาก็เริ่มล้อมคอกไม่ยอมให้ลูกหนีหายไปไหน ในยามที่เติบใหญ่

บ้านผม เป็นบ้าน 2 หลัง ปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกัน หลังข้างหน้าผมให้คนเช่าเป็นบ้าน 2 ห้องนอน ส่วนบ้านผมอยู่ด้านหลัง เป็นบ้านใหญ่ 3 ห้องนอน พื้นที่ในบริเวณบ้านยังมีเหลืออีกมากพอที่จะสร้างบ้านเล็กๆสักหลังได้อย่างสบาย

ผมจึงสร้างบ้านขึ้นมาอีกหลัง เพื่อให้ลูกชายอยู่ ขนาดเท่ากับห้องเก็บของขนาดใหญ่ หมดค่าก่อสร้างไปเป็นเงินหมื่นกว่าเหรียญ ติดแอร์คอนดิชั่นอย่างดี มีเฟอร์นีเจอร์พร้อมทั้ง ทีวี สเตอริโอ และตู้เย็น ฯลฯ เป็นห้องของลูกชายโดยเฉพาะ ซึ่งทำให้เขามีความรู้สึกเป็นอิสระ เข้า-ออก จากบ้านไม่ต้องผ่านบ้านผม

ห้องหลังนั้นจึงกลายเป็นสโมสรเล็กๆ ที่ลูกชายพาเพื่อนนักเรียนไฮสกูลมาสังสรรค์กันเป็นประจำ บางทีก็มี 2-3 คน บางครั้งก็มีเกือบ 10 คน และมีหลายคนที่นอนค้างคืนที่ห้องนั้นเป็นประจำ

พอลูกชายแต่งงาน ผมก็เลยยกบ้านด้านหน้าให้เขาอยู่กับภรรยา จนปัจจุบันนี้ ลูกก็ยังอยู่ที่บ้านไม่แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น เวลาผมถามว่า ทำไมไม่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เขาตอบผมว่า

“ย้ายไปให้โง่ อยู่ที่นี่ทั้งอยู่ทั้งกินฟรีทุกอย่าง”

ผมมาเห็นหนุ่มน้อยสถาปนิก ปริญญาโท มาดีไซน์บ้านไว้ขาย ขนาดเท่าที่ผมสร้างให้ลูก เห็นแล้วน้าสนใจมาก เพราะใช้วัสดุที่ดี มีคุณภาพ และยังตกแต่งอย่างสวยหรู เป็นห้องขนาด 10 คูณ 12 ฟุต แถมมีโคมไฟสวยงามห้อยอยู่กลางห้องด้วย ราคาแค่ 2,500 ดอลล่าร์ ติดตั้งให้ฟรี ถูกและดีอย่างนี้ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว บ้านใครมีพื้นที่เหลือซื้อเอาไปตั้งไว้ให้คนมาเช่าอยู่ เดือนละ 4-500 เหรียญสบายๆ