เห็นมา เขียนไป

ทิวสน
เห็นมา เขียนไป 20 ธันวาคม 2568

ปราบสแกมเมอร์ ขุดรากถอนโคน...

สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ที่กลับมาเดือดและตึงเครียดอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.2568 เป็นต้นมา ยังไม่รู้จะคลี่คลาย หรือนำไปสู่อะไร

การสู้รบในครั้งแรกเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.2568 คลี่คลายลงด้วยข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว

โดยนายกฯ ไทยกับนายกฯ กัมพูชา ยอมลงนามปฏิญญาร่วมกันเพื่อสันติภาพ มีประธานาธิบดีทรัมป์ สหรัฐอเมริกา และนายกฯ อันวาร์ มาเลเซีย เข้ามาไกล่เกลี่ยและเป็นสักขีพยาน

แต่ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะซาลงไป 2-3 เดือน ก็กลับมาปะทุเมื่อ 7 ธ.ค. และยังไม่หยุดจนถึงวันนี้

การสู้รบครั้งแรกนำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย นอกจากทางทหารแล้ว ยังมีพลเรือนด้วย

รวมถึงกระทบต่อความเป็นอยู่ประชาชนตามแนวชายแดน ที่ต้องอพยพให้พ้นจากรัศมีอาวุธระยะไกล

ตามมาด้วยปิดด่านชายแดน ยุติการทำมาหากิน ค้าขายต่อกัน ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจอย่างหนัก และลามไปถึงความเชื่อมั่นของนานาชาติ

ส่วนครั้งนี้สู้รบกันยาวนาน ระดมใช้อาวุธหนักมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทหารสูญเสียและบาดเจ็บมากกว่าครั้งก่อน

ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายด้านเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านตามแนวชายแดน

ที่ขณะนี้ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงโอดครวญสะท้อนมาแล้ว เมื่อไหร่จะหยุด จะได้กลับบ้านไปทำมาหากินตามปกติเสียที

ขณะที่ท่าทีของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล และกองทัพ ยังยืนกรานไม่หยุดยิง แต่จะเดินหน้าปกป้องอธิปไตย หรือจนกว่ากัมพูชาจะไม่เป็นภัยคุกคามไทยอีกต่อไป

จนถึงวันนี้ก็น่าจะชัดแล้ว ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลการเมือง หรือพรรคการเมือง แต่เพราะผู้นำคลั่งอำนาจที่อยากได้ดินแดนเพิ่ม และสร้างคะแนนนิยมในประเทศของตน

อีกประการคือ สูญเสียผลประโยชน์จากการปราบปรามสแกมเมอร์ ที่ทั่วโลกต่างเฝ้าจับตากัมพูชาเป็นฐานใหญ่ขบวนการเหล่านี้

ดังนั้นทั้งรัฐบาลรักษาการในขณะนี้ และรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง ต้องมีนโยบายเพื่อกวาดล้างสแกมเมอร์อย่างขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก

ถ้าทำได้ก็จะทำให้นานาชาติเห็นใจ และเข้าใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ที่มา”คอลัมน์รายวัน”โดย:ข้าวตอกแตก... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/newspaper-