เห็นมา เขียนไป

เห็นมา เขียนไป วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564

เห็นมาจากไลน์กลุ่ม จึงขออนุญาตเจ้าของไลน์ฯนำมาเล่าต่อ…. ชื่อใหม่ของ facebook คือ Meta แต่ไม่ “เมตตา” เราแน่... เพราะมาร์คจะสร้างโลกคู่ขนานที่ดึงทั้งเวลา เงิน และทรัพยากรของเราไปใส่โลกเสมือนนี้มากขึ้น ผลคือปัญหาเด็กติดเกม เด็กติดมือถือ จะหายไปทันที เพราะคนรุ่นใหม่จะ “ใช้ชีวิต” อยู่ในนั้นเลย!

ชื่อ Meta ที่สื่อตรงถึง Metaverse ทำให้เราต้องหันมาสนใจศัพท์คำนี้ ซึ่งสรุปง่าย ๆ ว่าเป็นโลกเสมือนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ สิ่งที่มาร์คโชว์เช่น Avatar ที่เป็นตัวเราในโลกเสมือนที่สามารถพบปะผู้คนในโลกจำลอง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ facebook ท่ีใช้อยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือตัวตนเสมือนนี้มีความสมจริงมากขึ้นเพราะเป็น VR ที่ต้องใส่อุปกรณ์อย่าง Oculus (ซึ่งซื้อกิจการมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว)

และที่สำคัญที่สุดคือ Ecosystem ที่สร้างขึ้นทำให้ผู้ใช้ “หาเงิน” จากโลกเสมือนนี้ได้ด้วย นี่คือสาเหตุที่ facebook พยายามผลักดันเงินสกุลดิจิทัล ของตัวเองคือ libra อย่างหนักแต่โดนแรงเสียดทานมากจนต้องเปลี่ยนเป็น diem ซึ่งแน่นอนว่ามันจะถูกใช้อยู่ในโลก Meta นี่แหละ

ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องใช้ชีวิตในโลกนี้มากขึ้น ตัวตนเสมือนของเราก็จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่เหมือนโลกในความเป็นจริง อาชีพออกแบบ Avatar จะทำเงินไม่แพ้ดีไซน์เนอร์ และบริษัทแฟชั่นทั้งหลายก็จะเปลี่ยนช่องทางในการหารายได้จากการเปิดร้านในห้าง มาสู่เปิดร้านใน Meta ขายสินค้าที่จับต้องไม่ได้ แต่ทำเงินได้ดีกว่าเดิม เพราะไม่ต้องปวดหัวเรื่องโรงงานผลิต ไม่ต้องหาวัตถุดิบ ฯลฯ

Meta จะก่อให้เกิดอาชีพใหม่อีกมาก ทั้งหมดทำงานและทำเงินอยู่ในโลกเสมือน ไม่ว่าจะเป็นออกแบบ นักดนตรี สถาปนิก นักแปล ฯลฯ รวมถึงคนเล่นเกมที่เคยได้แต้มเอาไปแลกไอเท็ม ก็กลายเป็นได้เหรียญ diem เอาไปใช้จับจ่ายใช้สอยได้ รวมถึง convert เป็นเงินในโลกจริงได้ด้วย Blockchain จึงกลายเป็นประตูที่เชื่อมโลกเสมือนกับโลกจริงเข้าด้วยกัน

Meta จะทำให้คนธรรมดา ๆ ที่อาจมีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนในโลกจริง แต่โลดแล่นเป็นเจ้าของอาณาจักรใหญ่โตในโลก Meta คนในยุคนี้จึงมี 2 โลกที่ใช้ชีวิตคู่ขนานกัน แต่ถ่ายโอนความมั่งคั่งได้ด้วย diem ที่ไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนควบคุมได้แน่นอน

บอกแล้วว่าเขาไม่ “เมตตา” เราแน่ ๆ

(ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเจ้าของไลน์ที่ใช้ชื่อว่า “Nittaya Gibson”)