บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภันฑ์
เกาะติดเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่

เริ่มเข้าสู่บรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะที่เมืองไทยหรือที่สหรัฐอเมริกา ชุมชนไทยกำลังเตรียมงานฉลองวันปีใหม่ตามประเพณีไทยกันแทบทุกมลรัฐ มีทั้งงานรื่นเริงงานบุญและรดน้ำขอพรจากผู้สูงอายุเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่อันเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่ายิ่งของชาติ

กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศวันสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ความว่า ปีมะโรง จัตวาศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น อธิกสุรทิน วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ ๑๓ เมษายน เวลา ๑๙.๔๖.๑๒ น. ตรงกับเวลา ๒๐.๐๔.๑๒ น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน) นางสงกรานต์นามว่า กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ

เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมในเรื่องของวันสงกรานต์ ผู้เขียนได้เชิญวิทยากร เอ๊ย..นักเขียนรุ่นลายครามของเบย์แอเรียที่เล่าตำนานและนิทานชาดกระดับห้าดาวมาแล้ว มาเขียนให้ได้อ่านกันตามสไตล์มันๆ ของเขา เป็นการแลกเปลี่ยนปลายปากกาจากดิฉันมาเป็นปลายปากกาคนอื่นบ้าง พบกับ “ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง” กันเลยนะคะ

ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง..วันสงกรานต์

โอ้ฤดูเดือนห้าหน้าคิมหันต์
พวกมนุษย์สุดสุขสนุกกัน ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์
ทั้งผู้ดีเข็ญใจใส่อังคาส อภิวาทพุทธรูปในวิหาร
ล้วนแต่งตัวทั่วกันวันสงกรานต์ ดูสคราญเพริศพริ้งทั้งหญิงชายฯ

สวัสดีปีใหม่ทักทายแบบไทยในบรรยากาศเทศกาล “สงกรานต์” ด้วยนิราศเดือนของนายมี (หมื่นพรหมสมพัตสร) ขอให้ทุกท่านที่เป็นแฟนคลับคอลัมน์นี้และพี่น้องชาวไทยทั่วไปมีความสุข เฉลิมฉลองวันสงกรานต์กันให้สนุกสนานนะครับ

เรื่องกำเนิดวันสงกรานต์นั้นมีเรื่องเล่าสืบๆ กันมาเป็นตำนาน ดังข้อความจารึกจากวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) ซึ่งผมจะขอนำมาถ่ายทอดเพื่อประดับความรู้ในสไตล์ของผม ท่านที่ยังไม่รู้ก็จักได้รู้ ส่วนท่านที่รู้แล้วก็จักได้ความแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น อย่าเพิ่งว่าผมเอามะพร้าวมาขายสวนก็แล้วกัน

เมื่อต้นภัทรกัปป์ มีเศรษฐีผู้หนึ่งร่ำรวยด้วยทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมาก ไม่มีบุตร-ธิดาไว้สืบสกุล บ้านท่านเศรษฐีอยู่ใกล้กับนักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตรสองคน รูปงามผิวเนื้อดั่งทอง วันหนึ่งนายขี้เมาคนนี้เข้าไปในบ้านท่านเศรษฐี และด่าทอปรามาสด้วยคำหยาบคายต่างๆ นานา เศรษฐีได้ฟังแล้วจึงถามว่า

“เจ้ามาพูดจาหยาบคายดูหมิ่นเราด้วยเรื่องอันใด”

นักเลงสุราจึงตอบว่า “ท่านมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่หามีบุตรไว้สืบสกุลไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็จะอันตรธานไปสิ้น หาประโยชน์อันใดมิได้เพราะขาดทายาทมาดูแลทรัพย์ ส่วนข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คน รูปร่างผิวพรรณรึ...ก็งดงาม ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่าน”

เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริง จึงมีความละอายต่อนักเลงสุรายิ่งนัก นึกใคร่อยากจะมีบุตรบ้าง จึงทำการบูชาบวงสรวงต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานบวงสรวงอยู่ ๓ ปีก็ไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อท่านเศรษฐีขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่ได้ดังปรารถนาแล้ว อยู่มาวันหนึ่งซึ่งเป็นฤดูคิมหันต์จิตรมาส (เดือน ๕) โลกสมมติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือพระอาทิตย์ยกจากราศีมีนสู่ราศีเมษ คนทั้งหลายพากันเล่นนักขัตฤกษ์รื่นเริงเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ทั่วชมพูทวีป ท่านเศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวารหญิงชายไปยังต้นไทรใหญ่ริมฝั่งน้ำอันเป็นที่อยู่ของเหล่าปักษี ทำการปัดกวาดให้สะอาดประดับประดาด้วยธงทิวดอกไม้นานาพรรณ เอาข้าวสารมาซาวน้ำถึง ๗ ครั้งแล้วหุงบูชารุกขเทวดาพระไทรพร้อมด้วยสูปพยัญชนะคาวหวานอันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่างๆ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานขอบุตรจากรุกขเทวดาพระไทร

ชะรอยว่าข้าวของที่นำมาบนบานจะเป็นที่ถูกอกถูกใจรุกขเทวดาพระไทร หรือว่าเทวดารับสินบนไปแล้วจึงยากที่จะปฏิเสธ (แหม..คิดว่าคอร์รัปชั่นจะมีแต่ในเมืองมนุษย์ แม้แต่เทพ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็ไม่เว้น) หรือท่านมีความเมตตากรุณาต่อท่านเศรษฐีที่พากเพียรขอพรมานานปี จึงขึ้นสวรรค์ไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้ท่านเศรษฐี พระอินทร์จึงมีพระบัญชาให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาท่านเศรษฐี เมื่อครบกำหนดทสมาสปฏิสนธิกาลออกมาท่านจึงขนานนามว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วท่านจึงสั่งให้ปลูกปราสาทขึ้นหนึ่งหลังให้กุมารอยู่ใกล้ต้นไทรริมฝั่งน้ำ

ครั้นกุมารเจริญเติบโตก็เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรู้ภาษานก และเรียนจบไตรเภทเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ ได้เป็นอาจารย์ประกอบมงคลพิธีต่างๆ แก่บรรดามนุษย์ชาวชมพูทวีปซึ่งสมัยนั้นชนทั้งหลายพากันนับถือท้าวมหาพรหม และกบิลพรหมองค์หนึ่งได้เป็นผู้แสดงมงคลการต่างๆ แก่ชนทั้งปวง

เมื่อกบิลพรหมทราบเหตุว่าธรรมบาลกุมารเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของชาวโลกทั้งหลาย จึงอยากจะลองภูมิว่าธรรมบาลกุมารจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดังคำเล่าลือหรือไม่ จึงได้ลงมาถามปัญหา ๓ ข้อกับธรรมบาลกุมาร ปัญหามีอยู่ว่า..


๑)เวลาเช้า สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
๒)เวลาบ่าย สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
๓)เวลาเย็น สิริคือราศีอยู่ที่ไหน

และต่างทำสัญญากันว่า.. ภายใน ๗ วัน ถ้าธรรมบาลกุมารตอบปัญหาไม่ได้ก็จะต้องตัดหัวเองสังเวยกบิลพรหม แต่ถ้าตอบได้ กบิลพรหมก็จะตัดเศียรตนเองสังเวยธรรมบาลกุมารเช่นกัน แล้วกบิลพรหมก็กลับไปยังพรหมโลก การทำดีและมีชื่อเสียงบางครั้งก็เหมือนดาบสองคม ดังที่ธรรมบาลกุมารกำลังเผชิญอยู่ สมกับสุภาษิตคำกลอนที่หลวงวิจิตรวาทการกล่าวไว้ว่า..

อันที่จริงเขาก็อยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน ฯ

ฝ่ายธรรมบาลกุมารก็พิจารณาขบคิดปัญหาเวลาล่วงไปแล้ว ๖ วันก็ยังคิดไม่ออกบอกไม่ได้ จึงคิดว่า..

“พรุ่งนี้แล้วสิหนอ เราตอบปัญหาไม่ได้คงจะต้องตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม เรายังไม่อยากตาย จำเราจะหนีไปซ่อนตนเสียดีกว่า” คิดได้ดังนั้นแล้วจึงลงจากปราสาทหนีไป ค่ำลงได้นอนพักที่ใต้ต้นตาล ๒ ต้นซึ่งมีนกอินทรีสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นตาลนั้น ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาลนั้น ได้ยินนางนกอินทรีถามผัวว่า..

“พี่จ๋า..พรุ่งนี้เราจะได้อาหารที่ไหนจ๊ะ” เจ้านกอินทรีผู้ผัวก็ตอบว่า..

“พรุ่งนี้จะครบ ๗ วันตามที่ท้าวกบิลพรหมถามปัญหาแก่ธรรมบาลกุมาร แต่ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมก็จะตัดศีรษะตามสัญญา เราทั้ง ๒ จะได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์คือธรรมบาลกุมาร”

“ท่านรู้ปัญหาหรือ” นางนกเมียถาม

“รู้ซิ..” ผัวตอบแล้วก็เฉลยปัญหาให้นกเมียฟังว่า..

๑)เวลาเช้าราศีอยู่ที่..หน้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า

๒)เวลาบ่ายราศีอยู่ที่..อก คนทั้งหลายจึงเอาน้ำ (น้ำอบน้ำหอม) ลูบไล้ที่หน้าอก

๓)เวลาเย็นราศีอยู่ที่..เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า

ดังคำโคลงโลกนิติที่ว่า..

เจ็ดวัน..ว่างเว้นดีดซ้อม ดนตรี
ห้าวัน..อักขระหนี เนิ่นช้า
สามวัน..จากนารี เป็นอื่น
วันหนึ่ง..เว้นล้างหน้า อับเศร้า ศรีหมองฯ

ธรรมบาลกุมาร นอนอยู่ใต้ต้นตาลอาศัยว่าตนรู้ภาษานก ได้ยินการสนทนาของนกสองตัวผัวเมียก็จำคำเฉลยได้ จึงโสมนัสยินดียิ่งนัก กลับปราสาทของตนด้วยความเบิกบานใจ

ครั้นครบวาระ ๗ วันตามสัญญา ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาฟังคำเฉลยปัญหา ซึ่งธรรมบาลก็มารก็สามารถวิสัชนาได้ทั้ง ๓ ข้อ ท้าวกบิลพรหมก็ยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้แก่ธรรมบาลกุมาร และจำต้องตัดเศียรของตนตามที่สัญญาไว้ แต่ก่อนจะตัดเศียรได้เรียกธิดาทั้ง ๗ คน คือ..ทุงสะเทวี โคราคะเทวี รากษสเทวี มณฑาเทวี กิริณีเทวี กิมิทาเทวี และ มโหธรเทวี (เทพีสงกรานต์ จึงมาจากคำว่า.. เทวี และ สงกรานต์ นั่นเอง) และบรรดาเทพทั้งหลายมาประชุมและแจ้งให้ทราบและตรัสว่า..

“เศียรของเรานี้ ถ้าตั้งไว้บนแผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลกธาตุ ถ้าโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง ถ้าตกลงไปในมหาสมุทรน้ำทะเลก็จะเหือดแห้ง เจ้าทั้ง ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด”

ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหมก็ตัดเศียรแค่พระศอประทานนางทุงสะเทวีธิดาองค์ใหญ่ ในขณะนั้นโลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวงยิ่งนัก เมื่อนางทุงสะเทวี เอามาพานรองรับเศียรท้าวกบิลพรหมแล้วทำประทักษิณเวียนรอบเขาสุเมรุราช ๖๐ นาที แล้งจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑป ณ ถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาส กระทำการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ของหอมต่างๆ พระวิษณุกรรมเทพบุตรก็เนรมิตโลงแก้ว อันประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการชื่อภัควดีให้เทพธิดาและนางฟ้าแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็นำมาซึ่งเถานาตลงล้างน้ำในสะอโนดาต ๗ ครั้งแล้วแจกกันสังเวยโดยทั่วกัน

ครั้นครบวาระ ๓๖๕ วัน โลกสมมติว่าปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาทั้ง ๗ ก็เทพพาหนะต่างๆ ผลัดกันเวียนกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกมาแห่แหนด้วยเหล่าเทพยบรรษัทแสนโกฏิ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุราชทุกๆ ปีแล้วก็กลับไปยังเทวโลก

ตำนานเรื่องวันสงกรานต์ก็จบเพียงเท่านี้

ชมภาพประกวดนางสกรานต์ปี 2555 ของทีวีสีช่อง 3 ร่วมกับบริษัทบีอีซี-เทโร และได้ผู้ผ่านประกวดเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย จะเข้าประกวดชิงชนะเลิศในวันเสาร์ที่ 14 เมษายน ศกนี้ ณ โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ คนไทยที่อเมริกาดูถ่ายทอดสดได้ผ่านไทยทีวีสีช่อง 3 เวลาประเทศไทย 15.00 นาฬิกา เป็นต้นไป

สำหรับผู้ชื่นชอบดูประกวดนางงามเชิญชมได้ค่ะ ขอบคุณเว็บไซต์ siamevent.com ค่ะ