บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภัณฑ์



เที่ยวไทย ปี ๒๕๕๘ ตอน ๑ ชมละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล”

๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ช่วงนี้ผู้เขียนห่างเหินงานเขียน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนบันทึกจากเบย์แอเรีย หรืองานเขียนนวนิยายในนามปากกา ลิลิตดา ที่ลงมาระยะหนึ่งแล้วในหนังสือพิมพ์ไทยแอลเอ เพราะว่าเหิรฟ้าจากซานฟราน มาลงบางกอก...มาถึงบางกอกก็แทบจะไม่มีเวลาพัก เพราะงาน (เที่ยวและกิน) ช่างเยอะแยะไปหมด...รับปากกับคุณนิดแห่งไทยแอลเอ ว่าถึงไทยแล้วจะเขียนเรื่องส่ง เพราะเกรงว่าเนื้อที่จะโดนเก็บไปเสียก่อน

เมืองไทยนี้มีเรื่องให้เขียนถึงมากมาย งานเที่ยว งานบุญ งานประเพณี ช่วงปลายปีนี้มีให้ทัศนาอิ่มอกอิ่มใจมาก แต่ก็คงจะคัดเรื่องมาเล่าเฉพาะที่ท่านผู้อ่านที่อยู่ในอเมริกาไม่ค่อยจะได้อ่านหรือสัมผัสกันนัก เนื่องจากผู้อ่านคนไทยเวลากลับไปเยี่ยมบ้านที่ไทยคงจะมีบางที่ บางแห่งที่อาจไม่เคยไปแวะเวียน ต่างกรรมต่างวาระประมาณนั้น

พูดถึงเรื่องการเดินทางกันก่อน ก็คือสายการบินที่คุ้นเคยใช้บริการ พูดถึงการเดินทางซึ่งก็ไม่เหมือนทุกครั้ง คือการใช้บริการสายการบินที่คุ้นเคยคือ อีวีเอ นั้น เมื่อก่อนต้องจองที่นั่งระดับเดอลักซ์เพราะเกรงว่าที่นั่งและที่เหยียดขาจะคับแคบ แต่คราวนี้ลองใช้บริการที่นั่งชั้นธรรมดาเพราะว่ากระเป๋าเงินเริ่มเบาบาง กะว่าช่างมันเถอะทนๆ เอาเดี๋ยวก็ถึง ทว่ากลับได้รับความสะดวกสบายยิ่ง เพิ่งทราบว่าเขาเปลี่ยนขนาดเครื่องยนต์ใหม่ ที่นั่งสบายกว้างขวางและใช้เทคโนโลยี่ทันสมัยมาก ทำให้โล่งอกที่ใช้ดุลยพินิจได้เหมาะกับสถานะการเงิน...มาเล่าแค่นี้ล่ะค่ะเรื่องนี้ เดี๋ยวจะหาว่ามาโฆษณาให้สายการบิน

สิ่งแรกที่ออกไปหาความสำราญกับน้องสาวก็คือไปชมละครเรื่อง โหมโรง เดอะมิวสิคัล ซึ่งขอให้หลานจองให้ตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทาง เพราะได้ข่าวว่าจะจบการแสดงในไม่กี่วัน โชคดีที่ได้บัตรในรอบซึ่งตอนแรกจะเป็นรอบสุดท้าย แต่พอไปถึงโรงละครผู้จัดตัดสินใจเพิ่มอีกรอบเพราะคนยังแห่แหนไปดูกันมากมาย

โรงละครนี้ผู้เขียนก็เพิ่งไปเป็นครั้งแรก โรงละครชื่อ สยามพิคเนศ อยู่ที่สยาม ๑ ออกจากรถไฟฟ้าก็มีทางออกที่ไปถึงตึกของสยาม ๑ พอดี โรงละครอยูชั้น ๗ ดังที่ได้เกริ่นไว้ก็คือเป็นรอบที่น่าจะสุดท้าย ผู้คนจึงมากมาย ผู้เขียนหันไปสำรวจโรงละครเห็นว่า มีทั้งคนหนุ่มสาว เด็กเล็กและผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และเต็มเกือบทุกที่นั่งทั้งชั้นล่างและชั้นบน เดาเอาว่าเกือบทุกท่านที่มาชมน่าจะได้รับอิทธิพลจากการได้ชมภาพยนต์เรื่องโหมโรง ที่สร้างความประทับใจและเป็นที่ชื่นชมจนเป็นกระแสให้เด็กไทยแและคนรุ่นใหม่พากันไปเรียนดนตรีไทยกันเมื่อสีห้าปีที่ผ่านมา

ละครโหมโรงนี้ก็นำเค้าโครงเรื่องมาจากภาพยนตร์โหมโรง จากฝีมือกำกับของ อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ที่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วประเทศมาแล้ว จากการนำเรื่องราวอัตชีวประวัติของบรมครูด้านดนตรีไทยอย่าง หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มานำเสนอ จนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว และสามารถนำดนตรีไทยกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ได้อีกครั้ง

แต่ในละครเวทีครั้งนี้ ได้เพิ่มฉาก เพิ่มการแสดงเต้นและร้องเพื่อให้เป็นละครเวทีที่สมบูรณ์ แน่นอนล่ะว่าไฮไลท์นั้นอยู่ที่การบรรเลงระนาดสดๆ ทั้งร่วมกับวงปี่พาทย์ เช่นการปะชันระนาดระหว่างพระเอก กับ “ขุนอิน” ซึ่งรับบทโดยนักระนาดเอกระดับประเทศนามว่า เบิ่ง ทวีศักดิ์ อัครวงศ์ ข้าราชการประจำกองการสังคีตกรมศิลปากร เดี่ยวระนาดให้ชมกันสดๆ ด้วยลีลาขั้นเทพ แต่ละเพลงแต่ละจังหวะที่ไม้ระนาดตกลงสู่ผืนระนาดหาผู้ใดเหมือน สะกดให้ผู้ชมจังงันและดื่มด่ำไปกับฝีมือของเขาโดยไม่มีข้อสงสัยในความสามารถ

ส่วนพระเอกของเรื่องนำแสดงโดย อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ หนุ่มน้อยหน้าหล่อเหลาแถมมีฝีมือในการตีระนาดโดยไม่ต้องให้ใครมาแสตนอิน ก็โดดเด่น เรียกเสียงฮือฮาทุกครั้งที่เขาบรรเลง ไม่เพียงจะโชว์ฝีมือระนาดได้อย่างมหัศจรรย์ เขายังร้องเพลงได้ไพเราะอีกด้วย แน่นอนว่าเขาผ่านการประกวดร้องเพลงและได้ครองรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งและ ได้รับปอปปูล่าโหวตมาแล้ว ข่าวว่าเรียนระนาดเอกมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง อาร์ม เป็นศิษย์เก่านิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เรียนหนังสือระดับเกียรตินิยมอันดับสอง เอ้า..น้องเขาเป็นรุ่นน้องผู้เขียนด้วยนะเนี่ย…

อะไรก็ดีไปหมดนะ เขียนเชียร์กันรึเปล่านี่ ผู้อ่านอย่าได้สงสัยนะคะ หากเรื่องนี้ไม่ดีจริงผู้เขียนคงไม่มานั่งมือหงิกเขียนถึงในช่วงที่ตัวเองน่าจะพักผ่อนสนุกสนานกับเวเคชั่นของตัวเองมากกว่า แต่ก็อดไม่ได้ที่เมื่อได้ไปชมหรือสัมผัสกับของดีก็อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะมีแฟนๆ งานเขียนของผู้เขียนเคยพบกันที่งานวัดมงคลรัตนาราม ได้มาทักทายและบอกว่าชอบอ่านเรื่องเที่ยวเมืองไทยของผู้เขียน โดยเฉพาะเวลาไปชมโขน ละครเนี่ย..ชอบอ่านมาก เดี๋ยวเรื่องโขนจะตามมาค่ะ เพราะเพิ่งไปชมมา

ละครเพลงเรื่องนี้สร้างสรรค์โดยทีมงานบริษัทเวิร์กพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ และบริษัทโต๊กลมโทรทัศน์จำกัด กำกับการแสดงโดย ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม โดยได้นักแสดงระดับศิลปินแห่งชาติ สุประวัติ ปัทมสูต รับบทท่านครู และด้วยความเป็นศิลปินที่แท้จริง คุณสุประวัติทั้งร้องเพลงและตีระนาดได้ดีเลิศ

หันมาดูผู้รับบทนางเอกบ้าง ได้แก่ แนน-สาธิดา พรหมพิริยะ สาวหน้าหวาน เสียงเพราะคนนี้ เธอชนะการประกวดระดบเวิร์ลแชมเปี้ยนได้รางวัลมากมาย รับบทแม่โชติสาวชาววัง ส่วนแม่โชติในวัยหลังนำแสดงโดยดารารุ่นใหญ่ที่ยังหน้าหวานอยู่ไม่เสื่อมคลาย คือ ดวงใจ หทัยกาญจน์ และอีกหนึ่งหนุ่มที่ทำให้บทละครนี้เข้มข้นขึ้น ก็คือบทพันโทวีระ ผู้เปลี่ยนแปลง และเข้มงวดกับคำสั่งของผู้นำในยุคนั้น นำแสดงโดย โย่ง อาร์มแชร์ หรือ อนุสรณ์ มณีเทศ ซึ่งเป็นนักร้องของวงอาร์มแชร์ แสดงได้สมบทบาท คนนี้หลังการแสดงมีแฟนคลับไปรุมล้อมขอถ่ายภาพด้วยมากมาย รวมทั้งผู้เขียนด้วย ปอปปูล่ากว่าตัวเอกๆ อื่นด้วยซ้ำ

ยิ่งเขียนก็ยิ่งจะจบไม่ลง เอาเป็นว่า เป็นละครมิวสิคัลที่ดีจริงๆ ขนาดว่าผู้เขียนอยากให้จัดแสดงเหมือนละครบรอดเวย์แบบเมืองนอกด้วยซ้ำ เนื่องจากมีครบทุกรส เพลง ฝีมือการแสดง ร้องรำทำเพลงแบบไทยๆ วิถีชีวิตไทยๆ และการอนุรักษ์ดนตรีไทย ซึ่งดนตรีไทยนี้กำกับโดยคุณ อัษฏาวุธ สาคริก ประพันธ์และเรียบเรียงดนตรีไทยโดย วงกอไผ่ ขอจบลงด้วยคำปรารภของผู้กำกับละครเรื่องนี้ คุณธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ที่เขียนไว้ว่า

“มีประเทศเดียวในโลกที่ทำละครเรื่องนี้ได้ ถ้าคุณเป็นคนไทย เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินนี้ รับรองว่า เมื่อได้มาชม จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างติดหัวใจกลับไป ไม่มากก็น้อย”

เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ และอยากให้คนไทยอีกหลายๆ คนได้มีโอกาสชม สักวันหนึ่งคงได้เห็นละครเรื่องนี้กลับมาแสดงตามเสียงเรียกร้องอีกครั้ง

ชื่นชมและปลื้มใจเป็นที่สุดที่ได้มีโอกาสไปชม ถือว่าเป็นโชคดีของผู้เขียนแท้ๆ ที่กลับไปเที่ยวประเทศไทยได้ถูกจังหวะ

พบกับบันทึกจากเบย์แอรียใหม่โอกาสหน้าค่ะ