บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภันฑ์



ขออยู่กับปัจจุบันด้วยความอดทน

สวัสดีมายังผู้อ่านทุกท่าน กลับมารายงานตัวในปีใหม่ 2557 ณ เบย์แอเรียหลังจากไปทำธุระอยู่ประเทศไทยเกือบสองเดือนค่ะ โดยธุระนี้เป็นเรื่องของการไปงานฌาปณกิจศพคุณแม่และไปช่วยน้องๆ จัดการดูแลข้าวของของคุณแม่ ซึ่งในช่วงที่เดินทางไปนั้นเป็นช่วงที่กรุงเทพฯ กำลังอยู่ในเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง วันที่เรามีพิธีเผาศพคุณแม่นั้น เป็นวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ทางฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหรือรู้จักกันในนามย่อว่า กปปส. ได้ออกมาเดินขบวนในเส้นทางที่ผู้คนจะเดินทางมาวัด (ธาตุทอง) พอดี แม้ว่าการเดินทางจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ก็มีญาติสนิทมิตรสหายที่ฝ่าทางอันลำบากนั้นมางานคุณแม่ดิฉัน จึงเป็นความซาบซึ้งใจที่ครอบครัวเราจะไม่มีวันลืมท่านเหล่านั้นเลยค่ะ

และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คือจากวันที่ 23 พฤศจิกายน ดิฉันก็เริ่มเห็นแล้วว่ากรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯจำนวนมากไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สยามเมืองยิ้มกลายเป็นเมืองที่ยิ้มให้กันไม่ได้ซะแล้วถ้าความคิดต่างกัน ดิฉันก็เพิ่งประจักษ์ว่า การพูดจาให้ร้ายกันด้วยอคติ หรือ hate speech นี้ไม่ว่าจะจากเวทีของผู้ต่อต้านรัฐบาล หรือจากโซเชียลมีเดียจะฝ่ายใดก็ตาม มันเริ่มแรงขึ้นๆ จนฉุดรั้งกันไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

การผลักดันให้คนที่ไม่เห็นด้วยกลายเป็นอีกพวกหนึ่งนั้ัน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุด ในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันทุกเรื่องทุกจุด แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้เพราะต่างคนต่างก็เคารพความคิดเห็นของกันและกันด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ ของการอยู่ร่วมกันให้ได้ในสังคมอเมริกันที่มีรากเง่ามาจากทั่วสารทิศโลก หลากเชื้อชาติหลากศาสนา หากท่านผู้อ่านเคยทำงานกับชาวอเมริกัน คงทราบดีว่า คนอเมริกันจะไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเห็นต่างของศาสนา และถือเป็นมารยาทที่ต้องกระทำโดยเคร่งครัด อันนี้ดิฉันไม่ได้มาเขียนมั่วๆ เอาเองนะคะ ดิฉันเคยทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของอเมริกาคือล็อกฮีดมาร์ตินมาถึงสิบเจ็ดปีก่อนเกษียณอายุ

อ๊ะ อ๊ะ..มิได้ตั้งใจจะมาเขียนเรื่องการเมืองนะเนี่ย เพราะว่ากำลังเขียนเรื่องนำเที่ยววัดวาอารามในเมืองไทยอยู่ดีๆเหลืออีกหนึ่งตอนจะจบเรื่องนำเที่ยววัดสุวรรณารามราชวรวิหารอยู่แล้ว แต่มาหักมุมเขียนเกริ่นการเมืองได้อย่างไร แหม..ก็เรื่องนี้น่ะ กำลังเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้น มีคนไทยคนไหนบ้างไม่ทราบและไม่คุยถึง คะ ? แถมดิฉันเองก็บังเอิญให้ไปอยู่ในประเทศไทยในช่วงนั้นพอดี มีทั้งญาติและเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ต้องออกไปพบปะกันที่อยู่ทั้ง “ฝ่ายโน้นและฝ่ายนี้” เหลียวซ้ายก็ใกล้ตัว เหลียวขวาก็ใกล้เพื่อน พูดเข้าข้างใครก็ตายอย่างเขียด คงเข้าใจนะคะ เมื่อกลับมาถึงอเมริกาก็เช่นกัน จะพบผู้ที่คิดต่างกันหลายสิบคน เอ้า..ไม่นับบรรดาแฟนคลับของคอลัมน์นี้ ดังนั้น ดิฉันจึงมิสามารถประกาศเลือกข้างใดได้ จะเรียกว่าเป็น “ไทยเฉย” หรือ “ไทยอดทน” ก็ว่ากันไป

ดีอย่างหนึ่งที่ว่าเมื่อกลับมาสหรัฐอเมริกา สิทธิของการแสดงออกนั้นกฏหมายเมืองนี้ให้ไว้เต็มที่ ใครก็ตามมิสามารถจะมาบังคับให้เราพูดหรือกระทำการใดๆ ที่เราไม่ต้องการได้

ดังนั้น ดีที่สุดเวลานี้เราก็น่าจะทำตามมารยาทสากลก็คือไม่คุยการเมืองเป็นดีที่สุด ส่วนกิจกรรมทางการเมืองนั้นหากดิฉันจะร่วมไหมก็คงร่วมแน่นอนแต่จะแสดงออกอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องบอกใคร ดั่งที่รธน.อเมริกันให้สิทธิเราไว้

“You have the right to remain silent. Anything you say can and will be used against you in a court of law” หากดิฉันจะแปลตามความเข้าใจของดิฉันก็คงไม่ผิดนักคือ “ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่พูดในเรื่องที่ไม่อยากพูดได้ เพราะการพูดไปอาจจะทำให้นำมาเป็นเรื่องให้เราเสียเปรียบทางกฏหมายได้”

พูดถึงกฏหมายก็ออกจะเศร้าอีกเมื่อเห็นกฎหมายในไทยเวลานี้ไม่มีความหมายสำหรับคนบางคนอีกแล้ว ก็ไปเห็นมาด้วยตาจะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร เสมือนน้ำท่วมปาก เฮ้อ.. “เมื่อพญาช้างสารประสานงา หญ้าแพรกก็แหลกราญ” แล้วประเทศไทยจะไปทางไหนดี หากมวลมหาประชาชนของกปปส.ชนะ แล้วอีกฝ่ายจะนิ่งเฉยหรือไม่หรือว่าจะเป็นวังน้ำวนต่อไปชั่วนาตาปี

กราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้คนไทยกลับมารักกันเถิด เราเกิดร่วมแดนไทย บรรพบุรุษท่านได้ต่อสู้เพื่อกู้บ้านกู้เมืองกลับมาให้ลูกหลานได้มีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในโลกใบนี้ เรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีหน้านี้ แถมเรานั้นก็เป็นประเทศในระบอบประชาธิไตยแถวหน้าของอาเซียนมาก่อนด้วยซ้ำ

ฉบับนี้ไม่ได้เขียนเรื่องนำเที่ยววัดสุวรรณารามตอนจบดั่งที่ได้เกริ่นไว้จากฉบับที่แล้ว เพราะว่าเมื่อกลับมาถึงเบย์แอเรีย เพื่อนฝูงฝากรูปมากมายมาให้ลง ล้วนแต่เป็นกิจกรรมของบุคคลที่เป็นที่รักและนับถือของชาวเบย์ ที่อยากให้ดิฉันลงเผยแพร่ให้ ทั้งๆ ที่ตั้งเข็มทิศไว้ว่าปีนี้จะไม่เขียนข่าวสังคม แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของแฟนคลับ ...จัดให้ค่า...

สองภาพแรกเป็นภาพจากงานฉลองครบรอบแต่งงาน 44 ปีของ คุณสบสุข และ มงคล ศิริโภค คู่สามีภรรยาที่มีแต่ให้กับให้สังคมไทยในซานฟรานและเบย์แอเรียมาตลอด เพื่อนฝูงและลูกหลานขอให้พี่ทั้งสองประสบแต่ความสุข รักกันยิ่งยืนนานเท่านาน

อีกสองภาพจากงานทำบุญเลี้ยงพระและอุทิศส่วนกุศลให้ คุณพ่อจั้ว แซ่โซ และคุณแม่ชุนเฮียง แซ่เต้ และคุณจารุภา ชมภูพงษ์ ที่ร้านอาหารเจ้าพระยาเมืองซาน มาเที่ยว ที่คุณฉัตรชัย ชมภูพงษ์ ปฏิบัติต่อเนื่องมากว่ายี่สิบปี

และอีกสองภาพขอแสดงความเสียใจกับคุณแมว-สาวิตรี หยวน สมาชิกวัดพุทธานุสรณ์ ที่สูญเสียคุณพ่อสมาน ศรีสมวงศ์ ไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่งภาพวันสวดพระอภิธรรมที่วัดปากไก่ ธนบุรี มาให้ดู โดยมีเพื่อนๆ จากวัดพุทธาฯ ที่ไปอยู่เมืองไทยพอดีไปร่วม พร้อมพระราชปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เมตตาไปร่วมงานด้วย กับภาพงานสวดพระอภิธรรมที่วัดพุทธานุสรณ์

เอาล่ะค่ะ พอหอมปากหอมคอกับข่าวสังคม ฉบับหน้ากลับมาเขียนต่อเรื่องปฏิกรรมบนฝาผนัง อีกหนึ่งผลงานมรดกล้ำค่าของไทยที่วัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย ขอบคุณ วัลลภ คชินทร น้องรักนักเขียนที่มีอนาคตไกลในบรรณพิภพ ที่มาช่วยเขียนแทนให้ช่วงที่ดิฉันติดธุระที่เมืองไทย และคงจะต้องขอใช้บริการอีกเรื่อยๆ อย่าเพิ่งไปไหนไกลนะน้อง...


สวัสดีค่ะ....