บันทึกจากเบย์แอเรีย
เพ็ญวิภา โสภาภันฑ์



ไปกราบพระศพองค์พระสังฆราช ที่วัดบวรนิเวศวิหาร

ตั้งใจแน่วแน่ว่าไปเมืองไทยครั้งนี้จะต้องเข้าไปกราบพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ให้ได้ มิฉะนั้นจะเสียเที่ยวไปเมืองไทยแน่ ดังนั้น วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๗ ดิฉันจึงมุ่งตรงสู่วัดบวรนิเวศวิหาร แม้ว่าในช่วงนั้นการเดินทางไปใกล้ๆ วัดบวรฯ หรือไปใกล้ๆ บางลำภูนั้นจะเป็นเรื่องลำบากไม่ใช่น้อยที่จะหาแท็กซี่นำไปส่ง ถนนบางเส้นถูกปิดเพราะว่าอยู่ใกล้ๆ กับถนนราชดำเนินที่ฝ่ายผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลไปตั้งที่มั่นชุมนุมกันอยู่

เมื่อดิฉันไปถึงนั้นเป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า ไปถึงก็เข้าไปนั่งในเต้นท์ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของตำหนักเพ็ชรที่ตั้งพระศพ มีประชาชนนั่งรอกันแล้วเกือบเต็มเต้นท์ซึ่งดิฉัน (กะเอาเองว่า) มีผู้มาเกือบแปดสิบท่าน และระหว่างที่รอก็ยังทยอยมาสมทบเรื่อยๆ ต่างก็แต่งชุดขาวดำเป็นระเบียบเรียบร้อย

ที่ยังต้องนั่งรอเพราะภายในตำหนักกำลังมีพิธีธรรมฉันเพลซึ่งเจ้าภาพในวันนั้น (จำไม่ได้ว่าเป็นใคร) กำลังร่วมพิธีอยู่ เราได้เห็นภาพจากจอภาพในเต้นท์ที่ถ่ายทอดพิธีจากภายในตำหนักให้ผู้ที่นั่งรอได้ชมด้วย เกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าพิธีด้านในจะเสร็จสิ้น พระสงฆ์ที่มาสวดในพิธีและเจ้าภาพออกนอกตำหนัก คราวนี้เจ้าหน้าที่จึงมาบอกให้พวกเราเข้าแถวเรียงสองแถว ให้ขยับเสื้อผ้าให้รัดกุม ห้ามสะพายกระเป๋าให้ถือไว้ และประโยคนี้ทำเอาดิฉันแปลกใจมากนั้นคือ

“ท่านที่สวมข้อมือด้วยผ้าธงชาติ หรือมีธงชาติประดับ เอาออกด้วย” อั๊ยยะ..ประโยคเด็ดนะเนี่ย..เจ้าหน้าที่ช่างกล้าประกาศ แสดงว่าคงมีคนประดับมากระมัง

ดิฉันตามแถวไปจนหน้าลานทางขึ้นโดยทุกคนต้องถอดรองเท้าและนำไปวางไว้ตรงที่ที่เขามีให้วาง และเดินเรียงแถวกันเข้าไปในห้องที่ตั้งพระศพ เจ้าหน้าที่ให้เรานั่งเรียงแถวลงกับพื้นและให้สำรวมอยู่ในความสงบ พิจารณาพระโกศพระศพที่ตั้งอยู่อย่างสง่างดงามสมพระเกียติยศ ดิฉันเกิดความรู้สึกอาลัยและอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียจริงๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้เรานั่งนานเพราะว่ายังมีคนต่อแถวอยู่ด้านนอกอีกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ให้เราเอ่ยคำถวายสักการะตาม และเมื่อเสร็จสิ้นตามคำถวายสักการะ เขาให้เราอธิษฐานใดๆ ถึงท่านได้เพียงห้านาที จากนั้นก็ต้องรีบออกมา ไม่เพียงพอกับความรู้สึกเอาเสียเลย อยากนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานๆ แต่เมื่อมาคำนึงได้ว่ายังมีพุทธศาสนิกชนที่รอเข้ามากราบพระศพก็จำต้องเข้าใจ และจำต้องกราบลาท่านในช่วงนั้น

เมื่อเดินออกมาจากห้องพระศพที่ระเบียงมีแจกหนังสือและซีดีเพลงคีตธรรม ซึ่งดิฉันดีใจมากๆ เพราะอยากจะได้หนังสือพระนิพนธ์เรื่อง “ชีวิตนี้สำคัญนัก” มานานแล้ว นับเป็นบุญของดิฉันที่ตัดสินใจถูกที่เดินทางไป (คนเดียวโดดเดี่ยว) ได้มีโอกาสกราบพระโกศพระศพ ได้หนังสือธรรมะดีๆ จากพระนิพนธ์ แถมได้ฟังเทปเพลงที่เขาเปิดให้ฟังนอกพระตำหนัก เพลง สังฆราชบูชา แนะนำให้ไปหาฟังจากยูทูปก็ได้ค่ะ เพราะมาก ฟังแล้วได้ความรู้สึกอาลัยในพระคุณและพระเมตตาขององค์พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นที่สุด

และอยากจะแนะนำให้พุทธศาสนิกชนหาพระนิพนธ์ของพระองค์ท่านไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะเล่มนี้ “ชีวิตนี้สำคัญนัก” โดยในเล่มจะมีบทธรรมะที่น่าอ่านน่าศึกษาหลายบท อาทิ “ชีวิตในชาติปัจจุบันน้อยนัก สั้นนัก” “ชีวิตกับกรรมที่กระทำ” “ผลของกรรมนั้นแน่นอน ไม่มีข้อยกเว้น” “ความซับซ้อนของกรรม” “ความแตกต่างในชาติกำเนิด” “อำนาจของกรรมกับการได้พบชาติ” “อำนาจความยึดมั่นของจิตก่อนแตกดับ” “ชีวิตนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสวัสดี” “การเลือกชีวิตในภพชาติใหม่ให้มีความสุข” “ภพชาติปัจจุบัน แสดงความผูกพันใจในอดีตชาติ” “กรรมส่งผลแก่ชีวิตในชาติปัจจุบัน” เป็นต้น

และที่ดิฉันอยากจะคัดลอกตัวอย่างข้อความสำคัญอ่านแล้วให้ได้คิด โดยเฉพาะในสถานะการณ์บ้านเมืองปัจจุบันนี้ ช่วยกันพิจารณานะคะ ดังนี้ค่ะ


ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก
เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยก
จะไปสูง ไปต่ำ จะไปดี ไปร้าย
เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น
พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี”

สาธุ ขอน้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน

กลับออกมาจากวัดบวรเดินเลาะเลี้ยวผ่านบางลำภู และข้ามมาเจอผู้คนรวมทั้งชาวต่างชาติมากมายที่ออกมาเดินดูของขายตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีทั้งผู้ชุมนุมที่เดินกันขวักไขว่ (ช่วงนั้นเป็นตอนบ่ายสองโมง เวทียังไม่มีอะไรแต่คนแยะมาก) มีของขายและชาวต่างชาติเดินซื้อของที่ขายกันบริเวณนั้น แต่ดิฉันเดินอยู่ไม่นานเพราะเริ่มหิวก็เลยย้อนกลับไปทางด้านสหกรณ์บางลำภู เข้าไปนั่งสั่งอาหารในร้านเล็กๆ ของสหกรณ์ อาหารใช้ได้เลย สะอาดราคาถูกและบริการดี ว่าแล้วก็คิดถึงคุณแม่และคุณพ่อที่สมัยท่านยังมีชีวิตจะเป็นสมาชิกและมาแวะซื้อของที่นี่เป็นประจำ

ก่อนจะจบข้อเขียนในวันนี้ อยากฝากให้ท่านช่วยกันไปฟังเพลงนี้นะคะ คีตธรรม “สังฆราชบูชา” ทำนองไพเราะมากให้คติและทำให้ยิ่งรำลึกถึงพระคุณของพระสังฆราชพระองค์นี้เสียจริงๆ เป็นเพลงที่ประพันธ์คำร้องโดย ฐิตวํโสภิกขุ ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร มีคำร้องประทับใจดิฉันหลายประโยค ที่ชอบมากสุดๆ คือ

“มั่นไว้ในธรรมทุกตอน ชาติเรายังบวร หากธรรมนั้นยังครองหัวใจประชา”

ผู้อ่านที่อ่านบทเขียนนี้จากเว็บไซต์ ท่านกดลิงค์ข้างล่างไปอ่านและฟังได้เลยค่ะ จากเว็บไซต์ของวัดบวรนิเวศวิหารhttp://www.watbowon.com/

ขอบคุณภาพบางภาพจากเว็บไซต์วัดบวรนิเวศวิหารค่ะ

ด้วยศรัทธา และอาลัยองค์พระสังฆราชา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก