วันนี้มาดามจะพาคุยเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของทุกคนกัน เพื่อประโยชน์ของเราเอง แม้เราจะรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน…มาอ่านบทความของนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ กันเป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเราเอง
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ จากประสพการณ์ตัวเอง …ที่เริ่มป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเสียเอง!! “ถ้าไม่เริ่มทำอะไรซักอย่าง ในวันข้างหน้าคงต้องไปนอนบนเขียงให้คนอื่นเขาผ่าตัดหัวใจของเราเองบ้าง” และนี่….คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ คุณหมอสันต์ ตัดสินใจเลิกผ่าตัดหัวใจ แล้วหันมาศึกษาด้านเวชศาสตร์ครอบครัว…ก่อนจะสอบเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ “คิดดู สอบเอาตอนอายุห้าสิบกว่านะครับ ถ้าไม่ชอบจริงก็คงไม่ทำ”
หลังผ่านบททดสอบขั้นแรกเรื่องการสอบ…ก็ถึงเวลาของการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณชน คุณหมอสันต์ ไม่เพียงเปิดคลินิกส่งเสริมสุขภาพ เพื่อใช้แก้ปัญหาสุขภาพของคนไข้แบบเฉพาะราย แต่คุณหมอยังเขียนหนังสือ เขียนเวปไซต์ health.co.th และเขียนบล็อก visitdrsant.blogspot.com เพื่อให้ความรู้หรือ health education นี้ เป็นเครื่องมือหลักของการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
ด้วยปณิธานที่ “ตั้งใจว่าจะเป็นหมอทางด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค” คุณหมอสันต์ จึงริเริ่ม โปรแกรมการดูแลสุขภาพด้วยการปรับวิถีชีวิต Total Lifestyle Modification (TLM) เพื่อให้คนไทยมีแนวทางการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง…นำไปสู่สุขภาพที่ดีไร้โรคเรื้อรัง!!!
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ พบ. อดีตเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ต่อมาหันมาสนใจเวชศาสตร์ครอบครัว แล้วต่อมาหันมาโปรโมทให้เกิดสาขาเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ขึ้นในเมืองไทย เปิดแค้มป์สอนให้คนทั่วไปมีสุขภาพดีด้วยตัวเอง (GHBY) และสอนคนที่ป่วยแล้วให้พลิกผันโรคด้วยตัวเอง(RDBY) ด้วย (1) โภชนาการที่มีพืชเป็นอาหารหลัก (2) การออกกำลังกาย (3) การจัดการความเครียดอย่างเป็นระบบ และ (4) การมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบตัว นอกจากนี้ยังสอนคนให้วางความคิดลดความเครียด (Spiritual Retreat) ท่านผู้อ่านทุกท่านสามารถถามหมอสันต์ได้ทางอีเมล์ chaiyodsilp@gmail.com
สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)
หรือพูดอีกอย่างได้ว่าชีวิตนี้ถ้ามีสิ่งเดียวแล้วสิ่งอื่นไม่ต้องมีก็ได้ สิ่งนั้นก็คือความเบิกบาน (Joy) เพราะชีวิตเราทุกวันนี้เรามุ่งหน้าดั้นด้นค้นหาความสุข ซึ่งมันก็ตัวเดียวกับความเบิกบาน การได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้พบความมหัศจรรย์ (wonder) กับชีวิตนั่นแหละ
เราจะเบิกบานได้มันมีองค์ประกอบสามสี่อย่าง
หนึ่ง ก็คือเราต้องยอมรับ (acceptance) ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเราให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อน หากเราไม่ยอมรับ เราก็จะเกร็ง จะสู้ หรือจะหนี นั่นก็คือภาวะเครียด ไม่ใช่เบิกบาน
สอง ก็คือใจเราต้องสงบเย็น (peace) ให้ได้ก่อน ใจเราไม่สงบเพราะมันมีความคิด ดังนั้นเราต้องฝึกวางความคิดก่อน
สาม ก็คือเราต้องผ่อนคลาย (relax) กล้ามเนื้อของเราก่อน เอาง่ายๆ ดูที่ใบหน้าของเราก็ได้ กล้ามเนื้ออื่นๆบนใบหน้า 42 มัดต้องผ่อนคลายก่อน กล้ามเนื้อ zygomaticus จึงจะหดตัวให้เรายิ้มที่มุมปากได้
สี่ ก็คือความเบิกบานมันมีธรรมชาติเป็นความปลาบปลื้มตามหลังการได้แสดงความรักความเมตตา (love) มันตามกันมาโดยเราไม่รู้ตัว แค่เราโปรยข้าวให้ปลากิน หรือแค่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ให้คนอื่นได้ชื่นชม เราก็ปลื้มแล้ว ความปลื้มนั้นแหละคือ Joy
สี่อย่างนี้ คือ การยอมรับ ความสงบเย็น ความผ่อนคลาย ความเมตตา หรือถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษก็คือ acceptance, peace, relax, love มันนำมาสู่ความเบิกบาน หรือ joy ซึ่งได้ขาดหายไปจากชีวิตของเรามานานพอควร
ซึ่งจะเป็นเหตุนำให้เราสงบเย็น เราจะฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย แค่ทำสองอย่างนี้ให้เก่ง อีกสองอย่าง คือการยอมรับและเมตตาธรรม มันจะค่อยๆเกิดขึ้นในใจของเราเองอย่างง่ายๆ เพราะแท้จริงเมตตาธรรมมันเป็นแก่นแท้หรือส่วนลึกที่สุดของใจเราอยู่แล้ว ขอเพียงแต่อย่าให้ความคิดมาเบรคหรือบดบังมันแต่นั้นแหละ
วันนี้ขอนำบทความของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ มาเป็นของขวัญวันคริสต์มาส ให้แฟนคลับทุกท่านค่ะ
แบ่งปันความสุขด้วยรูปภาพถวายความจงรักภักดีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันพ่อแห่งชาติ
รักและปรารถนาดี จาก Madam Super Pat (323-702-0788