ซุปเปอร์แพท
ปิยะพัชรี ศิลปี



โคโรน่าไวรัส น่ากลัวแค่ไหน

เห็นทีจะตกข่าวไม่ได้ซะแล้ว ต้องเขียนถึงโรคระบาดโคโรน่าไวรัสที่กำลังโด่งดังขณะน็ กับเค้าบ้าง เพราะมีผลกระทบมาถึงการไปท่องเที่ยวของคณะเรา ที่วางแผนไว้จะไปเที่ยวเกาหลีกันวันที่ 18 มีนาคม นี้ ปรากฎว่าต้องยกเลิกทั้งคณะ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกาหลีมีคนติดเชื้อหลายร้อยคน

โชคดีที่เราผ่านการไปเที่ยวออสเตรเลียและนิวซืแลนด์ รอดตายกันมาหวุดหวิด เพราะช่วงที่เราไปเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เชื้อโคโรน่าไวรัสเพิ่งออกอาละวาดเป็นข่าวครึกโครม เรือสำราญ Diamond Princess ถูกกักบริเวณดูอาการหลังเทียบท่าที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 14 วัน แถมมีผู้ติดเชื้อหลายคนด้วย ในขณะเดียวกันคณะเราล่องเรือสำราญ Ruby Princess จากนิวซีแลนด์สู่ ซิดนี่ย์ปลอดโรค โชคดีไปไม่ถูกกักบริเวณไม่พบโรคติดต่อ

เรามีคณะจองทัวร์ไปดูไบอีกหนึ่งคณะในเดือนพฤษภาคม แต่ต้องยกเลิกทัวร์ เพื่อขอติดตามดูสถานธการณ์โคโรน่าไวรัสกันก่อนเพราะข่าว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีแพทย์หญิงชาวจีนที่โรงพยาบาลอูฮั่นได้เสียชีวิตลงอีกหนึ่งคนแล้ว เศร้าใจจัง

มีข่าวรายงานเศรษฐกิจออกมาว่า มีผลกระมบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก วงการท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร ตลาด ห้างร้านต่างๆ กำลังประสบปัญหา ต่างต้องเลย์ออฟพนักงานชั่วคราวไปก่อน เพราะทุกคนต่างระวังตัวไม่เดินทาง ทำให้ขาดแคลนเงินหมุนเวียน

โคโรน่าไวรัสกำลังอาละวาดอย่างมีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในโลก ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ มีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับโรคนี้ที่ทราบกันชัดเจน และอีกหลายๆ เรื่องที่ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร การเรียนรู้เรื่องนี้สามารถกระทำได้ผ่านการพิจารณาในลักษณะหนึ่งที่น่าสนใจ

โคโรน่าไวรัส ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Covid-19 หลังจากอุบัติขึ้นมาแล้วประมาณ 3 เดือนตามที่เคยมีการคาดการณ์ ดังนั้นโดยแท้จริงแล้วมันจึงเป็น ไวรัส (มีขนาดเล็กกว่าแบคทีเรียมาก) ตระกูลโคโรน่า (corona หมายถึงแสงทรงกลดหรือมงกุฎ ซึ่งมีลักษณะเป็นหยักๆ คล้ายหนามแหลม ซึ่งเป็นหน้าตาของไวรัสตระกูลนี้) เชื่อกันในอดีตว่าไม่มีผลร้ายต่อมนุษย์มากนัก

ในปี 2003 เมื่อโรค SARS ซึ่งเกิดจากไวรัสในตระกูลนี้เกิดขึ้นความเชื่อในความไร้อันตรายของไวรัสตระกูลนี้จึงหมดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโรค MERS ซึ่งเกิดจากไวรัสตระกูลนี้เช่นกันอุบัติขึ้นในปี 2012

อัตราการตายของ SARS คือ 10% ส่วน MERS คือ 30%

SARS มีผู้เป็นโรคอยู่ประมาณ 8,000 คนมีคนตาย 800 คน ส่วน MERS ตัวเลขคือ 2,500 คนและตาย 860 คน หลังจากนั้นมีงานวิจัยจำนวนมากมายโดยเฉพาะโรค SARS และพยากรณ์กันว่าไวรัสตระกูลนี้จะเป็นสาเหตุการเกิดของโรคในมนุษย์อีกหลายโรค มันจึงเป็นลักษณะของ known unknowns คือรู้ว่าจะอุบัติขึ้นแต่ไม่รู้ว่าจะมีลักษณะรุนแรงหรือมีอาการอย่างใด

ไวรัสตระกูลโคโรน่าเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์มานานแล้ว กล่าวคือ เมื่อพันธุกรรมของไวรัสบางตัวในตระกูลนี้กลายพันธ์ุไปจนสามารถทำให้คนเป็นโรคได้ ไวรัสตัวนี้ซึ่งอยู่ในสัตว์บางชนิดเข้าสู่ตัวคนผ่านแผลหรือผนังเยื่อของตาจมูกปากโดยไวรัสอยู่ในสารคัดหลั่งจากสัตว์ (มือไปสัมผัสและนำมาขยี้ตา จมูก หรือสูดหายใจละอองฝอยเข้าปอด)

SARS นั้น เชื่อว่าชะมดเป็นตัวนำไวรัส ส่วน MERS นั้นคือ อูฐ ทั้งสองโรคเกิดขึ้นนานพอสมควรแล้วจนมีเวลาให้นักวิชาการศึกษาพันธุกรรมและสาเหตุของการติดต่อไปสู่คนสำหรับ Covid-19 นั้นยังอยู่ในลักษณะ ในเบื้องต้น กล่าวคือมั่นใจว่าติดจากสัตว์สู่คนและต่อไปถึงคนอื่น อีกทั้งรู้ลักษณะของ DNA (นักวิชาการจีนเป็นผู้ถอดรหัสได้ในเวลาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ระบาดซึ่งนับว่าเร็วมากเมื่อเปรียบเทียบกับสองโรคแรก) แต่ ยังไม่รู้แน่ชัดว่าระบาดจากสัตว์ใด (ค้างคาวพันธุ์เกือกม้าหรืองู) ติดมาสู่คนในลักษณะใด (หากรู้ชัดก็ป้องกันได้) ระยะฟักตัวที่แท้จริงนานเท่าใด (รู้คร่าวๆ ว่า 2-14 วัน) ยาใดที่ฆ่าไวรัสนี้ได้ (ยังไม่รู้เพียงแต่รักษาตามอาการซึ่งคล้ายกับเป็นโรคนิวมอเนีย คือ จาม ไอ มีปัญหาในการหายใจ ไข้สูง ฯลฯ)

ที่กล่าวมานี้คือรู้ว่าไม่รู้อะไรซึ่งกำลังรีบทำวิจัยกันอย่างหนักในขณะนี้ ทั้งในจีนและต่างประเทศ แต่ที่น่ากลัวก็คือ ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรเช่นต้องตรวจสอบว่ามีการติดต่อทางอื่น นอกจากที่เข้าใจกันหรือไม่ (ตอนนี้พบว่าติดต่อทางอุจจาระได้) ไม่รู้ว่าจะสงสัยเรื่องอะไรเช่นการฟักตัวที่นานกว่า 14 วัน เป็นไปได้หรือไม่การรักษาด้วยยาเท่าที่ทราบกันจะมีผลกระทบในระยะยาวจนทำให้เป็นโรคอื่นได้ง่ายขึ้นหรือไม่ มีวิธีการตรวจสอบอื่นที่ได้ผลกว่านี้หรือไม่ (ตอนนี้พบว่าการใช้ CT Scan ปอดจะทำให้รู้ผลเร็วกว่าการตรวจเชื้อ) ฯลฯ

ขณะนี้ทั้งโลกมีคนเป็น Covid-19 ประมาณ 65,000 คน เสียชีวิต 1,400 คน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นตัวเลขจริงหรือไม่ มีการปิดบังมากน้อยเพียงใด ผลจากการปิดบังตัวเลขจะมีผลทำให้การกระจายไปอีกไกลหรือไม่ ในลักษณะใดและก่อให้เกิดโรคแทรกอื่นได้อีกหรือไม่(unknown unknowns) ความไม่แม่นยำของตัวเลขเกิดจากการเอากรณีของคนเป็นโรคนิวมอเนีย ซึ่งมีอาการคล้ายกันไปรวมด้วยหรือไม่ หรือว่าตัดจำนวนคนเป็น Covid-19 ออกโดยตีความว่าเป็นนิวมอเนีย

จำนวนคนที่เป็นโรคนี้พุ่งขึ้นมากใน 2-3 วันที่ผ่านมา อาจเกิดจากการใช้ CT Scan ในจีนเป็นเครื่องมือพิสูจน์โรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนเปลี่ยนยอดตัวเลขของคนที่สงสัยให้โดดขึ้นมาทั้งที่จำนวนคนเป็นโรคไม่เปลี่ยนแปลงมาก ส่วนยอดคนตายที่เพิ่มขึ้นอาจมาจากคนที่ป่วยอยู่แล้วและเพิ่งเสียชีวิตแต่มิได้เกิดกับคนที่ป่วยใหม่ทั้งหมด

หากถามตรงๆ ว่า Covid-19 น่ากลัวไหม คำตอบก็คือน่ากลัว แต่จากหลักฐานที่พอเก็บได้ถึงวันนี้เชื่อได้ว่า ร้ายแรงน้อยกว่า SARS และ MERS (Covid-19 ตายเพียง 2%) ส่วนจะจบลงเมื่อใดจนโลกเป็นปกตินั้นเข้าลักษณะ unknown unknowns ซึ่งพยากรณ์ได้ยาก ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างทางที่โรคนี้กำลังจะคลายอิทธิฤทธิ์ลงนั้น วิธีการป้องกันและรักษาที่ได้ทำกันไปอาจสนับสนุนให้เกิดโรคใหม่ หรือการฟื้นตัวใหม่ของโรคเก่าๆ ขึ้นมาอีกหรือการระบาดของโรคนี้อาจพลักผันกลับมาอีกหรือไม่ (MERS ฟื้นตัวหลายครั้งก่อนจะจบลง)

ญี่ปุ่นกำลังลุ้นอย่างหนักเพราะกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนที่โตเกียว ในเดือน ก.ค.นี้ ซึ่งลงทุนไปมหาศาลกำลังใกล้เข้ามาทุกที การตัดสินใจเข้าร่วมของนักกีฬาประเทศต่างๆ รวมทั้งคนดูซึ่งเป็นต้นน้ำของความสำเร็จแขวนอยู่กับการจบสิ้นของโรคนี้ในโลกอย่างรวดเร็ว จีนก็อยู่ในลักษณะเดียวกันกำลังพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าสังคมที่ “สั่งได้” นั้น (สั่งให้คน 50 ล้านคน ไม่เดินทางออกนอกเขต) สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าระบบสังคมอื่น

เราควรดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้ดีเพื่อเตรียมรับมืออย่างมีสติไม่ตื่นตูมจนสติแตก ขาดกำลังใจในการทำงานและดำเนินชีวิต อย่าลืมว่าถึงแม้จะผ่านโรคนี้ไปแล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายปัญหา เช่นโรคใหม่จากตระกูลโคโรนาไวรัสฝุ่นหมอกควัน ภัยแล้ง การเมือง เศรษฐกิจโลก ปัญหาปากท้อง ฯลฯ ถ้าไม่ร่วมมือกันเราจะมีโอกาสป่วยหนักในลักษณะ “ตายหมู่” ได้ (ขอบคุณข้อมูลจาก นสพ.กรุงเทพฐานเศรษฐกิจ)

ถนอมสุขภาพห่างไกลจากเชื้อโรค ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่ อย่าพยายามสัมผัสหน้าตา จมูก ปาก ทานร้อน ข้อนกลาง ไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น ไม่ไปในที่แออัด รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เวลาไอมีไข้ให้ใส่หน้ากากอนามัยไปหาหมอทันที ปลอดภัยทุกคน


ด้วยรักและปรารถนาดีจาก Super Pat (323)702-0788

ชมรมส่งเสริมความสุข แห่ง ลอสแอนเจลิส

Thursday February 20, 2020.

ชมรมส่งเสริมความสุข แห่งแอลเอ ได้นำเงินที่ได้รับจากการบริจาคของผู้มาร่วมงาน Tea Dance ปันน้ำใจ สู้ไฟป่า ให้กับประเทศออสเตรเลีย เมื่อ Saturday January 18, 2020 ที่ผ่านมา

ได้เงินบริจาคทั้งหมดเป็นเงิน $1,550.00 มอบผ่านกงสุลใหญ่ มังกร ประทุมแก้ว

ณ.สถานกงสุลใหญ่นครลอสแอนเจลิส เวลาบ่าย 3 โมง ให้กับสภากาชาดออสเตรเลียเพื่อสมทบทุนช่วยเยียวยาความเสียหายจากไฟป่า

รายละเอียดดังแนบ

เงินสด$ 1,550.00

ขอขอบคุณกงสุลใหญ่มังกร ประทุมแก้ว ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนชมรมส่งเสริมความสุข แห่งลอสแอนเจลิส ในการมอบเงินบริจาคครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง