ซุปเปอร์แพท
ปิยะพัชรี ศิลปี



บำบัดโรคด้วย”พลังแม่เหล็กไฟฟ้า”

วันนี้จะพาคุณแฟนคลับรู้จัก “พลังแม่เหล็กไฟฟ้า บำบัดโรค” กัน เนื่องด้วยดิฉันได้รับคำแนะนำว่ามีเครื่องประดับที่ใส่แล้วให้ความสวยงามอีกทั้งยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย จึงสนใจหาความรู้จากอากู๋ ที่เป็นอาจารย์เรื่องความรู้ทุกชนิด ได้ไปพบบทความของนพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เกี่ยวกับพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่กำลังสนใจอยู่ ขออนุญาตินำมาเผยแพร่เป็นอาหารสมอง และเป็นวิทยาทานแก่ผู้สนใจ

ในชีวิตจริง แม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราสารพัดแบบ เพราะอันที่จริงแล้ว ตัวเราล้วนจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่มนุษย์เราประดิษฐ์ขึ้น ที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้วก็คือ สนามแม่เหล็กโลก สนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่คนเราประดิษฐ์ขึ้นก็ได้แก่คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์ รวมไปถึงสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นรอบๆสายไฟฟ้า สนามเหล่านี้บางอย่างเป็นอันตรายกับสุขภาพ แต่ก็มีสนามอีกบางอย่างซึ่งถ้าจัดการให้ดี กลับมีประโยชน์ สนามที่เป็นอันตรายกับสุขภาพ เช่นคลื่นจากโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ สายไฟฟ้าแรงสูง รวมไปถึงสนามจากเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำวันในบ้าน เช่น เตาไมโครเวฟ ไดเป่าผม ทั้งชนิดเล็กที่ใช้เป่าผมในบ้าน และชนิดใหญ่ๆครอบศีรษะในร้านดัดผมที่คุณแม่บ้านชอบใช้เวลาดังกล่าว แช็ตกันตั้งแต่เรื่องข้าวของขึ้นราคาตามราคาน้ำมัน ไปจนถึงรูปภาพเรตเอกซ์ที่คนมือบอนโพสต์กันขึ้นไปบนเน็ต

ในทางตรงข้ามสนามแม่เหล็กไฟฟ้าประเภทให้คุณ ก็นับวันแพร่หลายออกไปมากมาย ตั้งแต่เก้าอี้สนามไฟฟ้าที่วิจัยกันมาช้านานซึ่งช่วยการนอนหลับ ปรับระดับไขมันเลือด ที่นอนแม่เหล็กบำบัดโรค กำไลข้อมือ เข็มขัดรัดเอวแม่เหล็กที่ช่วยรักษาปวดข้อ ปวดหลัง แม้กระทั่งสร้อยคอที่ทำด้วยวงจรกำธรคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้สวมสำหรับชาวสำนักงานผู้หลงใหลกับการโทรถี่โทรนาน ใช้สวมป้องกันอันตรายจากคลื่นโทรศัพท์

เรื่องราวเหล่านี้ มีมูลความจริงอย่างไรในเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่น่าติดตามหาคำอธิบาย จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องศึกษาลึกเข้าไปในศาสตร์ที่เรียกว่า Vibrational Medicine หรือ คลื่นพลังบำบัดโรค ดังจะได้แจงจารให้อ่านกันต่อไป

ประวัติของแม่เหล็กบำบัดมีมานานลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เรื่องเล่าของชาวกรีกบอกว่าเด็กเลี้ยงแกะชื่อ Magnes ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่ พบว่าตะปูเหล็กที่ตอกติดพื้นรองเท้าของเขา มีอันถูกก้อนหินก้อนที่ใหญ่ดึงให้ติดแน่นอยู่กับที่ จนเขาต้องออกแรงดึงมหาศาล จึงจะสามารถก้าวเท้าออกมาจากก้อนหินนั้นได้ นั่นเป็นที่มาของการค้นพบแม่เหล็ก ซึ่งถูกเรียกชื่อว่า Magnet ตามชื่อของเขา ต่อมาเขาได้กะเทาะเอาชิ้นส่วนของก้อนหินแม่เหล็กที่เขาพบ ติดเข้าไว้กับรองเท้าของเขา ซึ่งช่วยให้เขาเดินทางระยะไกลๆได้โดยไม่ทันรู้สึกเหน็ดเหนื่อย นั่นเป็นประโยชน์ประการแรกของแม่เหล็กต่อสุขภาพจากเรื่องเล่าปรัมปรา แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เรื่องราวในภายหลังว่าด้วยอิทธิพลของแม่เหล็กต่อสุขภาพทั้งหลาย เวลาเปิดเผยออกไป จึงไม่ค่อยมีใครยอมเชื่อ เหมือนกับการได้ยินเรื่องราวจากปากของเด็กเลี้ยงแกะ นั่นเอง

ดังได้ปรากฏเป็นข่าวว่า อย.ของเราออกมาป้องปรามบริษัทผู้ค้าที่นอนแม่เหล็ก หาว่าโฆษณาเกินจริง หรือแม้แต่งานวิจัยจากยุโรปเรื่องอันตรายจากคลื่นโทรศัพท์มือถือว่าเพิ่มอันตรายต่อดีเอ็นเอของสัตว์ทดลอง รวมถึงงานวิจัยจากแพทย์ศิริราชเอง เรื่องไฟฟ้าแรงสูงที่พาดผ่านโรงเรียนหรืออาคารบ้านเรือน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ก็ดูเหมือนสังคมจะผ่านเลยข้อมูลเหล่านี้ไปอย่างไม่แยแส

แท้ที่จริงแล้วคนเราได้ใช้แม่เหล็กกับสุขภาพมาเป็นเวลาช้านาน วัฒนธรรมของจีน อียิปต์ อินเดีย อราเบีย ฮิบรูล้วนแต่ได้กล่าวถึงการใช้แม่เหล็กรักษาโรค ตำนานกล่าวว่าพระนางคลีโอพัตราทรงแสวงหาหนทางความอ่อนเยาว์ ด้วยการใช้ชิ้นแม่เหล็กติดไว้กลางหน้าผากตลอดเวลาที่พระนางเข้าบรรทม อริสโตเติลได้เขียนไว้ตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาลบอกเล่าเรื่องราวของแม่เหล็กรักษาโรค และในศตวรรษที่ 3 แพทย์ชื่อกาเลน ได้ใช้แม่เหล็กรักษาอาการท้องผูกและอาการปวดต่างๆ พอถึงศตรวรรษที่ 4 ปรัชญาเมธีชาวฝรั่งเศสแนะนำการสวมสร้อยคอแม่เหล็กเพื่อรักษาอาการปวดหัว และอเล็กซานเดอร์ แห่งทราเลสเริ่มใช้แม่เหล็กรักษาปวดข้อในศตวรรษที่ 6 มาถึงศตวรรษที่ 9 แพทย์อิสลามชื่อ อะวิเซนนารายงานเรื่องการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยแม่เหล็ก ส่วนแพทย์เปอร์เซียคนผู้หนึ่งก็รักษาโรคเก๊าต์และกล้ามเนื้อเกร็งตัวด้วยแม่เหล็กในปีค.ศ.1000 ในซีกโลกตะวันออก นักธรณีวิทยาชาวจีนได้ระบุถึงอิทธิพลของสนามแม่เหล็กโลกที่มีต่อสุขภาพของคนเราตั้งแต่ศตวรรษที่ 1

พาราเซลซัสเป็นแพทย์อีกผู้หนึ่งซึ่งไม่เพียงระบุว่าโลกเรานี้หนอ เป็นแม่เหล็กก้อนใหญ่มหึมา และการรักษาโรคด้วยแม่เหล็กจะมีผลต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้แม่เหล็กขั้วเหนือหรือขั้วใต้ มาถึงปีค.ศ.1777 ราชแพทยาลัยของฝรั่งเศสให้การยอมรับการรักษาโรคด้วยแม่เหล็กของ เลอ โนเบิล และระบุว่าแม่เหล็กน่าจะมีบทบาทอย่างมากต่อการแพทย์ในอนาคต ทำราวกับว่าพวกเขาคาดการณ์ได้ถึงความก้าวหน้าของเครื่อง MRI ที่ใช้แม่เหล็กตรวจอวัยวะภายในของคนเราออกมาให้เห็นทีละแว่นๆ ได้ในยุคศตวรรษที่ 21

อย่างไรก็ตามคนที่ระบุเรื่องแม่เหล็กกับคนเราด้วยทรรศนะที่กว้างไกลกลับเป็นนักดาราศาสตร์ชื่อ เมสเมอร์ เขาบอกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกของเรามีคลื่นแม่เหล็กบางๆส่งทอดถึงกัน และสนามพลังดังกล่าวนี้เอง ส่งผลต่อระบบประสาทและพลังชีวิตในตัวของคนเรา เขารักษาหญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคลมชักโดยวางแม่เหล็กบนร่างกายของเธอบางแห่ง สมมติฐานของเขาก็คือ หญิงผู้นี้ถูกอิทธิพลของคลื่นแม่เหล็กโลกทำให้ระบบประสาทและสมองของเธอเสียสมดุลไป ดังนั้นถ้าเอาชิ้นแม่เหล็กไปวางบนตัวเธอ แม่เหล็กน่าจะช่วยปรับคลื่นของประสาทเธอให้กลับสู่สมดุลได้ เขาจึงเอาชิ้นแม่เหล็กวางลงบนหน้าท้องและหน้าเธอของผู้ป่วย ทันทีที่วางลงเธอรู้สึกถึงความเจ็บป่วยแผ่ซ่านจากปลายเท้าขึ้นมาตลอดลำขาและช่องท้องของเธอ เธออยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 6 ชั่วโมง แล้วอาการปวดจึงอันตรธานไป มันหายไปพร้อมกับอาการชักกระตุก หมดสติ และอาการหลงที่มักจะติดตามมากับภาวะลมชักของเธอ

ข้อน่าสังเกตในวิธีการรักษาของเมสเมอร์ก็คือ นอกจากชิ้นแม่เหล็กแล้ว เขายังใช้มือลูบวนไปรอบๆเหนือตัวผู้ป่วยด้วย เขาเรียกอากัปกิริยานั้นว่า "การโคจรพลังแม่เหล็ก" และบ่อยครั้งที่เขาพบว่า วิธีการโคจรพลังแม่เหล็กที่เขาทำอยู่ มีผลในการบำบัดรักษาดีพอๆกับการใช้แม่เหล็กจริง เสียด้วยซ้ำ

ถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงนึกสนุกกับความรู้ใหม่ๆว่าด้วย "พลังแม่เหล็กไฟฟ้า บำบัดโรค" แล้วใช่ไหม บางคนจะรีบไปซื้อที่นอนแม่เหล็ก รองเท้าแม่เหล็ก เลดข้อมือแม่เหล็ก หรือเก้าอี้สนามแม่เหล็กมานั่งแล้วซิครับ ขอให้ใจเย็นๆติดตามรายละเอียดก่อน มีกฎบางข้อที่พึงสนใจคือ 1.อย่าใช้แม่เหล็กแรงจัด เช่นขนาด 1,000 เกาส์ขึ้นไป วางลงบนศีษะเกิน 10-15 นาที (โดยเฉพาะถ้าเป็นแม่เหล็กขั้วใต้) มันจะทำให้คุณปวดหัวหรือระบบฮอร์โมนร่างกายจะผิดเพี้ยนไป ดร.วิลเลียม ฟิลพอตต์เคยรายงานอาการชัก จากการใช้แม่เหล็กขั้วใต้ไปจ่อที่ศีรษะมาแล้ว 2.อย่ารักษามะเร็ง โรคติดเชื้อ หรืออาการอักเสบด้วยแม่เหล็กขั้วใต้ แม่เหล็กขั้วใต้เหมาะสำหรับการเจริญเติบโต ใช้การเด็กให้โตเร็ว การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร 3.อย่าวางแม่เหล็กบนท้องของหญิงมีครรภ์

- สีโลหะ แม่เหล็ก (NdFeB Magnet)

เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต

ลดการอักเสบ

ลดอาการปวด และบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา

ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

- สีแดง ฟาร์ อินฟาเรด (Far Infrared)

แถบรังสีย่าน FIR ช่วยบำบัดปัญหาสุขภาพ

- สีดำ เยอรมันเนียม (Germanium)

ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง

บรรเทาปวด

เพิ่มอ๊อกซิเจนให้เนื้อเยื่อ

ช่วยเรื่องปัญหากระดูกพรุน

- สีเทา เนกาทีฟ อิออน (Negative Ion)

เสริมภูมิต้านทาน

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

เพิ่มภูมิต่อเชื้อหวัด ลดภูมิแพ้

ลดไมเกรน

FAR INFRARED เพื่อสุขภาพ

พลังความร้อนจาก FAR INFRARED คืออะไร มีข้อดีอย่างไรเป็นรูปแบบของพลังความร้อนจากแสงอาทิตย์ ที่ไม่ต้องอาศัยอากาศเป็นสื่อกลางในการนำความร้อน เป็นพลังงานที่อยู่ในย่านที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เรารู้สึกและรับรู้ได้จากความอบอุ่นที่ส่องมาของดวงอาทิตย์ โดยปกติร่างกายรอบตัวเรา ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการใช้ความร้อนบนฝ่ามือ เพื่อการบำบัดช่วยรักษาโรคของคนยุคโบราณที่ไม่ต้องใช้ยา หรือการผ่าตัด ระบบความร้อน KOMEDAนั้นเป็นระบบความร้อนเดียวกันที่ส่งมาจากแสงดวงอาทิตย์ ที่จะทำให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นเป็นพลังงานความร้อน ( FIR ) ที่อยู่ในช่วงความถี่ยาว 8.0-15.0 ไมครอน ซึ่งเป็นช่วงพลังงานความร้อนที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะแตกต่างจากระบบ Suana คือพลังงานความร้อนที่มีคลื่นสั้นกว่า ให้ความร้อนพื้นผิวด้วยระบบที่ให้ความร้อนจาก อากาศ ( Hot air/Steam )

Sauna และ ห้องอบไอน้ำ เกิดจากวิวัฒนาการมานานนับพันปี ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าช่วยในการบำบัด แต่ถ้าไม่ได้ปรับระบบความร้อนที่แผ่ออกมาทั้งคลื่นแสงสั้นและยาวให้เหมาะสม ก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายมนุษย์ จึงให้ได้เพียงความร้อนที่พื้นผิวเท่านั้น ฟาร์อินฟราเรด ให้ความร้อนที่สามารถเข้าสู่กล้ามเนื้อของรางกายโดยตรงสู่เนื้อเยื่อและเซลล์ได้ลึกถึง 1.5 นิ้ว และร่างกายสามารถรับได้ 93 % ของคลื่นความร้อนทั้งหมดที่ส่งมายังผิวหนัง ซึ่งประโยชน์และคุณสมบัตินี้แตกต่างจากตู้อบความร้อนทั่วไปจากเว็บ http://www.thaimss.com

สีดำ เยอรมันเนียม (Germanium) มีคุณสมบัติแผ่อิออนลบ ทำให้เลือดลมเดินดีขึ้น เพิ่มพลกำลัง ความกระปรี้กระเปร่า ความสุข คลายความเครียด ป้องกันโรคหัวใจ ความดัน อัมพาต อัลไซเมอร์ ลดระยะเวลาฟื้นตัวหลังเจ็บป่วยให้สั้นลง ฯลฯ

ปัจจุบันเครื่องประดับที่สามารถแผ่อิออนลบนี้กำลังโด่งดังทั่วทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วเอเชีย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา นักกีฬาอาชีพแทบทุกแขนงนิยมสวมใส่ – และข่าวดีที่เราอยากจะบอกก็คือ อิออนลบ ส่งผลให้ผู้สวมใส่จิตใจสบายขึ้น การตอบสนองสิ่งต่างๆดีขึ้น ความกระฉับกระเฉงสูงขึ้น ส่งผลดีต่อสภาวะจิตใจ

อิอนลบเป็นด่าง ส่วนอิออนบวกเป็นกรด อิออนลบมีอยู่มากในสภาวะแวดล้อมที่เป็นน้ำ อากาศ และดิน เรารู้สึกสดชื่นเวลาอยู่ในชนบทก็เพราะที่นั่นมีอิออนลบอยู่หนาแน่นมาก ส่วนคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆมักถูกรุมเร้าด้วยความเครียด ความอ่อนล้า เมืองใหญ่ๆที่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน โทรศัพท์มือถือ และมลภาวะจากอุตสาหกรรมซึ่งผลิดอิออนบวกออกมา ดังนั้นเราจึงต้องการอิออนลบอย่างสูงเพื่อบำรุงสุขภาพของเราให้ดี

อิออนมีประโยชน์อย่างไร? คนเมืองต้องใช้ชีวิตที่ถูกคุกคามโดยความเครียดจากการงาน ร่วมกับมลภาวะในสภาพแวดล้อม เป็นผลให้ร่างกายคนเราสะสมอิออนบวก (กรด) ไว้มากเกินไป เป็นการซ้ำเติมให้เราต้องเผชิญกับโรคร้ายต่างๆนานา ความเครียด และความอ่อนล้า มากยิ่งขึ้นอีก อิออนลบมีความสามารถในการยกระดับความเป็นด่างในร่างกายเราขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดระดับของกรดพิษลงและทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้ พลังของอิออนลบในสินค้าของเราช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและสร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆของอุณหภูมิร่างกายได้เคยถูกตรวจพิสูจน์แล้ว อิออนมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?

อิออนลบช่วยบำรุงการไหลเวียนของโลหิตและช่วยยกระดับการสันดาปโดยการยกอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพการนอนหลับและผ่อนคลายอาการอ่อนล้าจากการบาดเจ็บกล้ามเนื้อซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำงานและการออกกำลังกายหนักๆ นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทจึงสามารถตื่นขึ้นแต่เช้ามือพร้อมกับความกระปรี้กระเปร่า ในขณะที่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่กลับรู้สึกอ่อนเพลียได้ง่ายๆแม้จะเพิ่งผ่านการนอนหลับมาหลายชั่วโมงก็ตาม

Germanium ทำงานอย่างไร? สามารถทำงานด้วยพลังงานเพียงน้อยนิด เช่นอุณหภูมิของร่างกาย นิวเคลียสของ Germanium มีอีเล็คตรอน 32 ตัว และมีอีเล็คตรอน 4 ตัวเคลื่อนที่อย่างไม่เป็นระเบียบอยู่ในวงโคจรรอบนอก เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงขึ้น อีเล็คตรอนหนึ่งในสี่นั้นจะถูกกระตุ้นให้หลุดออกจากวงโคจรของมัน อีเล็คตรอนที่หลุดออกนั้นสามารถช่วยร่างกายเรารักษาสมดุลของอิออนและสามารถฟื้นฟูประสิทธิภาพของเซลส์สมองซึ่งจะช่วยป้องกันความไม่สบายทั้งหลายแหล่ได้ นอกจากนั้น ยังสามารถปรับแนวโน้มทางไฟฟ้าที่ผิดปกติในร่างกายคนได้ด้วย และก็อีกครั้ง มีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำ ซึ่งสามารถเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายบำรุงการไหลเวียนของโลหิต และผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของร่างกาย

เมื่ออุณหภูมิขึ้นถึง 89.6 องศาฟาเรนไฮท์ Germanium สัมผัสเข้ากับผิวหนังของเรา มันก็จะปล่อยอิออนลบเข้าสู่ร่างกายเรา อิออนลบเหล่านี้ก็จะไปขจัดอิออนบวกที่เป็นตัวการทำให้เกิดความเครียด นอกจากนั้นอิออนของ Germanium ยังช่วยสนับสนุนระบบการย่อยอาหารของเรา ป้องกันรังสี EMF/ELF (ที่แผ่ออกมาจากคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ) และทำให้กิจกรรมทางไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายเราสมดุลอีกด้วย...ดิฉันได้ทดลองใส่สร้อยข้อมือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้ามาได้ 2 อาทิตย์แล้ว รู้สึกดีขึ้นมากมาย ทั้งการทรงตัว ความสมดุลย์ การนอนหลับ

ไม่ลอง ไม่รู้ เพื่อสุขภาพ ไม่มีอะไรเสีย เพียงแค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น มีสิ่งใดดีๆจะคิดถึงแฟนคลับทุกคนก่อนเพื่อนค่ะ โทรคุยกันได้ค่ะ

ด้วยรักและปรารถนาดีจาก Super Pat (323)702-0788