Special Scoop
ประสบการสาวไทยกับทนาย

เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ลองเข้าไปดูเวบไซต์ของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ดูไปดูมา วกวนอยู่หลายหน้าหลายรอบด้วยกัน จนไปลงเอยอยู่ที่เวบของ USICIS (http://www.uscis.gov) เพราะสนใจที่จะทำเรื่องขอวีซ่าถาวร (Green Card / Permanent Resident Card) ให้กับคุณแม่ของสามี เข้าไปลองอ่านศึกษาดู ข้อมูลเค้าก็เยอะดีนะคะ พิมพ์เอกสารออกมาได้เป็นตั้งๆเลยทีเดียว

ด้วยความมั่นใจขณะนั้น ก็ลองกรอกเอกสารเลยค่ะ เตรียมทุกอย่างที่เค้าขอให้ส่งไปด้วย แอบคิดในใจว่าเออมัน ง่ายกว่าสมัครเป็นซิติเซ่นตั้งเยอะ (สมัยก่อนเคยทำเองค่ะ) แต่ไอ้ความมั่นใจก็หายวับไปกับตาเมื่อถึงตอนทีจะต้องจ่ายเงินนี่ล่ะค่ะ โอ้โห $420 เลยเนอะ แล้วถ้าเรากรอกผิด เอกสารไม่ครบ นู่นนี่ ระดับนี้แล้วเค้าไม่คืนเงินแน่ๆ ณ จุดนี้ความมั่นใจเหือดหายเลยค่ะ เริ่มพะวงว่าเราอาจจะเตรียมและกรอกเอกสารไม่ถูกต้อง ก็แหม เรื่องมันดูเหมือนจะง่าย ง่ายเกินไปรึเปล่า…?

แว่บนึง ในใจก็คิดเลยนะคะ ว่าเอ…จะปรึกษาใครดี แต่มันก็ไม่มีใครค่ะที่รู้สึกมั่นใจมากพอว่าเค้า (น่า)จะรู้จริง ทีนี้ก็เลยไปเปิด Yellow Pages แบบฉบับภาษาไทย ซึ่งก็คือหนังสือพิมพ์ไทยในแอลเอของเรานี่ล่ะค่ะ แอบเรียกเองว่าเป็นสมุดหน้าเหลืองเพราะเค้าก็รวมสรรพสิ่ง งานบริการทุกอย่างเอาไว้แล้ว เปิดดูได้ไม่ทันไรก็เจอเลยค่ะ มีทนายเต็มเลยที่รับทำเรื่องขอใบเขียว และรับแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เราไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวของเราและคนรอบข้างที่เราห่วงใย นี่ล่ะค่ะ “ทนายความ” นั่นเองที่ปรึกษาที่น่าจะไว้วางใจได้มากที่สุดในเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นกับคุณ หรือแบบดิฉันที่เกิดความกังวล ไม่มั่นใจที่จะยื่นเรื่องขอใบเขียวให้กับคุณแม่ของสามีด้วยตัวเอง

ที่เลือกเกริ่นนำเรื่องมาเสียยาว เพื่อที่จะมาเล่าให้คุณฟังถึงเรื่องทนายความ จริงๆแล้วก็เพราะอยากให้คุณผู้อ่านได้ลองนึกดูถึงความรู้สึกส่วนตัวที่คุณมีในเวลาที่คุณมีปัญหาและต้องการผู้ให้คำปรึกษาในด้านกฎหมายนั่นแหละค่ะ จริงๆ จะว่าไปแล้ว ทนายความก็ไม่แตกต่างไปจากแพทย์หรอกนะคะ ถ้าคุณไม่รู้สึกป่วย โดยเฉพาะที่บ้านเมืองนี้แล้วล่ะก็คุณต้องป่วยจริงๆ แหละคุณถึงจะยอมไปหาหมอ ก็เหมือนกันกับถ้าไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้คุณ หรือคุณไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใครเรื่องกฎหมาย คุณจะนึกถึงทนายความทำไมจริงมั๊ยล่ะค่ะ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเสียไปกับค่าหมอ ค่ายา ก็ไม่ได้ต่างไปจากค่าทนายหรอกค่ะ แต่แน่นอนสิ่งที่คุณได้รับเกือบจะทันทีก็คือความสบายใจ ที่มันหาค่าเอาไม่ได้เลยจริงๆ

วันนี้เลยอยากมาเล่าให้คุณได้รู้จักกับทนายหนุ่มเกาหลีคนหนึ่งซึ่งอยู่ในแวดวงกฎหมายมาเกือบ 10 ปี ทนายความหนุ่มคนนี้ชื่อว่า “จอช” ค่ะ ที่อยากให้คุณได้รู้จักกับทนายคนนี้ ก็เพราะว่าดิฉันก็สามารถติดต่อเรื่องการขอเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ได้ทั้งของครอบครัวตัวเองและสามีได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเสียเงินไปฟรีๆอีกแล้วก็เพราะคุณจอชนี่ล่ะค่ะ ก่อนที่จะมาเขียนบทความนี้ให้คุณได้อ่าน คุณจอชก็บอกให้ดิฉันฟังนะคะ ว่าเค้ามีความตั้งใจมาก และสนใจที่อยากจะเป็นเพื่อนคู่คิด ให้คำปรึกษากับคนไทยของเราในแอลเอนี่ ตัวดิฉันด้วยความที่เป็นคนรวดเร็วทางวาจาก็ถามกลับทันทีเลยว่า แล้วจะช่วยอะไรได้บ้างล่ะค่ะ ขอรายละเอียดนิดนึงได้รึเปล่า ทีนี้เค้าก็เล่าตอบให้ดิฉันฟังมาอย่างยาว จับใจความได้ค่ะว่า

คุณจอชมีความสามารถและ มีความถนัดเสียเหลือเกิน ในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ ธุรกรรม (Business Law) เรียกว่าตั้งแต่คุณคิดว่าจะเปิดกิจการใด ๆ ก็ตาม ระหว่างดำเนินกิจการ ไปจนปิดกิจการ ซึ่งโอ้โห ตอนแรกดิฉันก็งง ๆค่ะ เหรอ มันจะมีอะไรกันนักหนา เพราะส่วนใหญ่เจ้าของกิจการเค้าก็ต้องทำกันได้ วิ่งเต้นกันได้อยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นน่าจะต้องมีปัญหาเลย แต่พอคุณจอชเริ่มอธิบายมา ว้าว มันเยอะอ่ะค่ะ Landlord โกงสัญญาบ้าง โดนหน่วยงานรัฐฯ เข้าตรวจสอบเรื่องแรงงาน สถานที่ดำเนินการ เจ้าของกิจการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินกิจการ….

แล้วเรื่องก็โยงไปถึง เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายคนเข้าเมืองค่ะ (Immigration Law) เพราะคุณจอชทำเคสเรื่องของการนำบุคคลากรจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ซึ่งเค้าก็บอกเลยนะคะว่า มันง่ายมากเลยจริงๆ นะ หากคุณมีเอกสาร และคุณสมบัติ (Qualifications) ทุกอย่างตามที่ทางรัฐฯ ต้องการ

ดิฉันถามว่าปัญหาส่วนใหญ่มันก็เพราะเอกสารไม่ครบ ไม่มี อะไรทำนองนี้แหละ แล้วยูจะทำยังไง คุณจอชก็ตอบทันทีแบบสมูธมากๆ ว่าก็ถึงได้มีทนายเป็นคนทำเรื่องไง เค้านี่ล่ะที่เป็นคนเดินเรื่อง และตอบคำถามต่างๆ ให้แทนลูกค้า (Client) ของเค้า เรียกได้ว่า ทุกปัญหามันต้องมีทางแก้ไขอยู่แล้ว ดิฉันก็เลยหยุดถามไปเลยค่ะ โอเค ๆ สรุปแล้วคือ คุณจอชเนี่ย ถนัดเลยเรื่องกฎหมายด้านธุรกิจ และ เรื่องของอิมมิเกรชั่น

แล้วอย่างอื่นล่ะ คุณจะช่วยอะไรคนไทยได้บ้าง ดิฉันรวบรวมความคิดแล้วถามต่อ เค้าตอบว่า เค้ารับว่าความในทุกกรณีนะ ด้วยใบอนุญาติของรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้ว่าความได้ทั้งคดีในทางแพ่งและ ในทางอาญา แต่โดยส่วนตัวแล้วเค้าคิดว่าสังคมไทยกับเกาหลีก็คล้ายกัน ด้วยเรื่องของปัญหาในการดำเนินธุรกิจ และการเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เค้าก็เลยอยากจะให้คุณผู้อ่านได้ทราบว่าเค้าเชี่ยวชาญในเรื่องทั้งสองนี้อย่างแท้จริง และก็อยากให้คุณ ๆ ได้นำความรู้ในทางกฎหมายติดตัวกลับไปด้วย หากคุณสนใจอยากขอคำปรึกษาจากเค้า คล้ายกับว่าถ้าหมอจ่ายยาแล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก เรียกว่าหายจากโรคสนิท แล้วถ้าเกิดซ้ำคุณก็จะรู้วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

ฟังมาอย่างนี้ดูเก่งนะคะ ทุกอย่างมันง่ายอะไรได้ขนาดนั้นสำหรับตัวคุณจอช ด้วยความสงสัยเพราะเห็นว่าอายุของเค้าน่าจะยังไม่มาก ก็เลยถามไปค่ะว่าแล้วทำไมถึงตัดสินใจมาเป็นทนายความล่ะค่ะ ไม่เคยคิดอยากไปร่วมสังกัด JYP นักร้องเกาหลีอะไรงี้เหรอ เค้าตอบมาแบบขำ ๆ ค่ะ ว่ามาเป็นทนายความเนี่ยตามดวงเลยจริงๆ

จอชเล่าต่อให้ฟังว่า เรียนจบปริญญาตรี และได้รับใบปริญญาระดับสูงทางกฎหมาย ทั้ง JD และ LLM มาแบบสบายๆ และได้รับทุนตลอดระยะเวลาที่เรียนหนังสือ สำหรับตัวเค้าเอง เค้าคิดว่าการเรียนกฎหมายและสอบบาร์ ให้ผ่านเป็นเรื่องที่ง่ายมาตั้งแต่ต้น แต่เค้าก็ย้ำนักหนาเลยนะคะว่าเค้าก็อ่านหนังสือและต้องเตรียมตัวสอบเหมือนที่ทนายทุกคน แต่สำหรับเค้าเองการอ่านหนังสือคืออ่านแล้วเข้าใจ ตีความ และนำมาประยุกต์ใช้ได้ อาชีพทนายความที่เค้าเริ่มต้นมาจึงไม่เคยมีอุปสรรคเลย

แต่ที่มีปัญหามากก็คือเรื่องของการลงทุนด้านธุรกิจ ที่เค้าชื่นชอบมากและรู้จักการลงทุนมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเฟรชแมน คือธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตเกาหลีนี่ล่ะค่ะ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่คุณจอชเคยเปิดมาแล้วหลายแห่งเลยทีเดียว พอมาคิดดูแล้ว มิน่าเล่าเค้าถึงกล้าการันตีว่า งานทนายเรื่องธุรกิจน่ะมันเยอะมากๆ อยู่แล้วนะ เพราะคุณผู้อ่านคงจะนึกภาพออกเหมือนดิฉันว่าตัวคุณจอชเองก็คงเคยพบประสบปัญหามามากมายด้วยตัวเอง ตอนนี้เลยทำงานด้านทนายและ เป็นผู้ให้คำปรึกษากับบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเดียวเท่านั้น

เอาล่ะค่ะ เมื่อคุณอ่านมาถึงย่อหน้าสุดท้ายนี้ หากคุณผู้อ่านกำลังเกิดความกังวลใจ ไม่สบายใจ หรือว่าเกิดความคิดเปล่งประกายไอเดียขึ้นมาว่าเออนะ อยากจะลองคุยกับคุณจอช ดูเหมือนกัน เพราะว่าอยากจะขอคำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ลองมาพบปะพูดคุยกับคุณจอชดูสิคะ ออฟฟิศอยู่ไม่ไกลค่ะ ที่แล้ค-ซี นี่เอง มีป้ายใหญ่ Law Office ติดอยู่ที่ด้านหน้า หรือโทรศัพท์เข้ามาก่อนก็ได้ค่ะที่เบอร์ (323) 518-2746 เจ้าหน้าที่พูดภาษาไทยได้นะคะ และอยู่ประจำที่ออฟฟิศตลอด วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9 โมง ถึง 5 โมงเย็นค่ะ

การที่เรามีทางเลือกในการหาผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาด้านกฎหมายมันดีออกนะคะ การที่เราอยู่ไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่เรามีความรู้เท่าทันกับคนอื่นโดยเฉพาะในเรื่องเฉพาะทางเช่นนี้ ออฟฟิศของคุณจอชก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในเวลาที่คุณต้องการความช่วยเหลือด้านกฎหมายค่ะ

KO & ASSOCIATES 1100 N. Main St., Suite D, Los Angeles, CA 90012

T: 323.518.2746 F: 323.518.2747 E: ployn@kolawoffice.com Ploy Nithiphanthawong (พลอย นิธิพันธวงศ์) Lead Case Manager