Special Scoop



การผจญภัยท่องยุโรปในฤดูหนาว

จากการที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะธุรกิจการบินซึ่งมีการแข่งขันที่สูง ลดแหลกจนไม่สามารถที่จะไม่ซื้อไม่ได้ จึงเป็นที่มาที่ผมต้องตกกระไดพลอยโจนเมื่อ Cyber Monday คือ วันจันทร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า (The Monday after Thanksgiving Holiday) ทุกบริษัทจะลด แลก แจก แถม กันอย่างถล่มทลาย

ช้อปปิ้งทางออนไลน์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2005 จากการตลาดสมองใสของนาง Ellen Davis รองประธานอาวุโสของสมาคมผู้ขายปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation) ซึ่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ซื้อที่ไม่ต้องการไปเบียดเสียดยัดเยียดกันในร้านเพื่อซื้อของ On Sale เพื่อเข้ามาซื้อทาง On Line ที่สะดวกสบายแทน ได้ของและ Sale เหมือนกัน แถมส่งฟรีเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย จนกลายเป็นที่นิยมของนักช้อปปิ้งสมัยใหม่ หนุ่มสาว และคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นเน็ตเป็นจะเข้าไปดูของลดราคาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น Amazon.com, Shop.org เป็นต้น

ในปี 2014 Cyber Monday ยอดขายเพียงวันเดียวได้เป็นเงินกว่า $2.68 Billion หรือกว่า 2.6 พันล้านเหรียญ อีกเหตุผลหนึ่งที่นาง Ellen คิดการตลาดนี้ขึ้นมาเพื่อมาสู้กับห้างต่างๆ ที่มีการลดแหลกเหมือนกันในวันศุกร์หลังวัน Thanksgiving ที่เรียกว่า “Black Friday” นั้นเอง นี่ก็เป็นเหมือนเหตุที่ต้องไปยุโรปในหน้าหนาวนี้ เพราะว่า Air New Zealand มีการลดราคาตั๋วไป-กลับ แอลเอ-ลอนดอน $490.00 (ซึ่งจากแอลเอต้องใช้เวลาบินกว่า 10 ชั่วโมง) จากราคาปกติถ้าบินตอนหน้าร้อนราคากว่าพันห้าร้อยเหรียญ ส่วนการหาที่พักตลอดระยะเวลาเดินทาง 6 วัน (เสียเวลาบิน และเวลาต่างกันโดยประเทศอังกฤษเวลาเร็วกว่าลอสแอนเจลิส 8 ชั่วโมง) นักท่องเทียวปัจจุบันเขาจะใช้บริการของบริษัท AIRBNB ย่อมาจาก Air Bed Breakfast ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2007 โดยนาย Brian Chesky และนาย Joe Gabbia เขามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก โดยมีคอนเซ็พท(Concept) แนวความคิดที่จะหาที่อยู่แบบเป็นบ้าน อพาร์ทเม้นท์ คอนโด ที่ทางเจ้าของอยากหารายได้พิเศษ โดยให้เช่าชั่วคราวกับนักท่องเที่ยวต่าง ๆ ปัจจุบันมีสถานที่อยู่ในลิสติ้งกว่า 1,500,000 แห่งทั่วโลก มีทุกมุมเมือง ราคาก็มีให้เลือกโดยดูสถานที่จากภาพถ่ายของสถานที่นั้นๆ ซึ่งคนก่อตั้งสองคนนี้เกิดความคิดจากการที่เขาสองคนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ที่เขาสองคนเช่าอยู่ เลยใช้ห้องนั่งเล่น แบ่งให้นักท่องเที่ยวมาเช่าอยู่ และทำอาหารเช้าให้แขกทานอีก ทุกอย่างสามารถจองและจ่ายทางเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก สำหรับที่พักของผมที่อยู่ในสามประเทศ อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี นั้นมีครัวให้ใช้ สามารถซื้ออาหารมาทำเองได้เลย มีตู้เย็น ไมโครเวฟ พร้อม ราคาตกคืนละ $30 - 50 เหรียญต่อคืน ซึ่งถูกกว่าโรงแรมหลายเท่า และยังได้อยู่ในเขตชุมชน สามารถเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวได้สะดวกสบาย มิน่าเล่าคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ถึงได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนกัน ก็เพราะราคาประหยัดนี้เอง ใครที่สนใจลองหาใช้ดูที่ AIRBNB.COM หรือถ้ามีห้องว่างให้นักท่องเที่ยวมาพักชั่วคราว ทางเขาคิดค่าคอมมิชชั่น 3-6 % ของราคาเช่า ผมประทับใจ ดีกว่าพักโรงแรมหลายเท่า โดยเฉพาะคนงบน้อย และต้องการเลือกโปรแกรมท่องเทียวเอง

ในปีนี้บริษัท AIRBNB ก็จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ใครมีสตางค์เหลือใช้ก็ซื้อหาสต๊อกเขาได้ บริษัทแบบนี้คล้ายกับ UBER ที่ตอนนี้ก็มีคนเลือกใช้เกือบทั่วโลก ราคาถูกกว่า เร็วกว่ารอรถแท็กซี่

ผมเริ่มเดินทางในวันที่ 12 มกราคม 2016 โดยสายการบิน Air New Zealand ออกจากสนามบินแอลเอ ทอม แบรดเลย์ ใช้เวลาบินกว่า 10 ชั่วโมง ราคา $245 เหรียญ ต่อเที่ยว คิดว่ามานั่งเครื่องบินเที่ยวกรุงลอนดอนก็คุ้มค่าแล้ว ไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพราะเคยได้ยินแต่ว่า คนไทยชอบส่งลูกเรียนอังกฤษเพราะเป็นประเทศเก่าแก่ เมืองผู้ดีอังกฤษ

สายการบินแอร์นิวซีแลนด์ใช้เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER (ER มาจากคำว่า Extended Range บินระยะไกล) สามารถบินได้ไกลถึง 7,370 ไมล์ โดยไม่ต้องเติมน้ำมัน ปัจจุบันนิยมใช้กันในหลายสายการบิน เช่น อีว่า ไทย ไชน่า เป็นต้น มีใช้มากกว่า 575 ลำ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2015 ที่ผมนั่งเป็นเครื่องค่อนข้างใหม่ แต่ที่นั่งชั้นประหยัดค่อนข้างแคบไปหน่อย ถ้าคนหน้าเลื่อนเก้าอี้ลงนอน เราแทบจะขยับไม่ได้ เที่ยวบินนี้มีฝรั่งทั้งนั้นกว่า 90% คนเอเชียไม่นิยมเที่ยวเพราะอากาศหนาว อุณหภูมิเฉลี่ย 4-8 องศาเซลเซียส (Celsius) ซึ่งทั่วโลกเขาใช้กัน แต่ทางอเมริกันคงหยิ่ง ข้าจะใช้ องศาฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) เสียอย่าง ซึ่งตารางเปรียบเทียบ 0 องศาเซลเซียส = 32 องศาฟาเรนไฮต์

0 องศาเซลเซียส = จุดที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง (Freezing point of water) และจุดเดือดอยู่ที่ 100 องศาเซลเซียส

32 องศาฟาเรนไฮต์ = จุดที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเช่นกัน จุดเดือดที่สุดที่ 212 องศาฟาเรนไฮต์

เช่นเดียวกับค่าวัดน้ำมัน ชาวโลกเขาใช้ลิตร (Liter) ทางอเมริกาใช้แกลลอน (Gallon)

โดย 1 Gallon = 3.8 Liter

ส่วนระบบไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้ 220 V ใน 3 ประเทศที่ไปเทียวนั้นใช้ไฟ 220 V

อังกฤษขับรถพวงมาลัยขวา ชิดขวาตลอด ฝรั่งเศสพวงมาลัยขวาเช่นกัน แต่อิตาลีพวงมาลัยซ้าย เป็นต้น

พอได้ทานอาหารบนเครื่องบินแล้วก็นึกถึงการบินไทย อีว่า เกาหลี ที่มีอาหารที่ดูน่าทานกว่ามากเลย ผมสั่งอาหารเจเพราะไม่อยากอัดจนอิ่ม ได้ทานสองมื้อกว่าจะถึงลอนดอน ก็แบบประหยัด เรียบง่าย ปริมาณน้อย ที่แปลกคือ อย่าได้หาไม้จิ้มฟัน สายการบินฝรั่งเขาไม่ใช้กัน เวลาไปไหน ผมชอบสังเกตห้องน้ำ เพราะมันบ่งบอกถึงความสะอาด ส่วนอื่นๆของตัวเครื่อง หรือของประเทศนั้นๆ เพราะส้วมนี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการรักษาความสะอาดกันตลอด ในเครื่องแอร์นิวซีแลนด์มีห้องน้ำที่เรียบง่าย แต่เก๋ดี เพราะมีวอลเปเปอร์ติดโดยรอบ ซ้ำยังเปิดเพลงเบา ๆ ให้ฟังขณะใช้ห้องน้า อันนี้เขาสอบผ่านเลย ติอยู่อย่างเดียว เขาไม่มีโลชั่น หรือน้ำหอมโคโลญให้ฉีดเหมือนสายการบินเอเชียเรา

หลังลงจากเครื่องต้องเดินกันเป็นกิโล 15 นาทีกว่าจะถึงสถานีอิมมิเกรชั่น สังเกตดูว่าเขาคงจะอวดว่าสนามบินเขาใหญ่มั่ง (เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ) เคยสงสัยว่าทำไมไม่ทำสำนักงานอิมมิเกรชั่นให้อยู่ใกล้ ๆ หน่อย ถ้าคนแก่ขาไม่ดีก็ต้องนั่งรถเข็น หรือมีรถกอล์ฟของสนามบินมาช่วย มิฉะนั้นคงเดินกันขาลาก ก่อนลงมีพนักงานเสริฟบนเครื่อง ที่คนชอบเรียกกันว่า แอร์โฮสเตสที่อยากเป็นกันนัก ที่แท้ก็คือคนรับใช้ผู้โดยสารบนเครื่อง งานหนักจะตาย หน้าตาดีแต่ไม่ค่อยจะยิ้ม เจอผู้โดยสาร 300-400 คน เรียกใช้กันไม่ขาดสาย แต่พนักงานฝรั่งนี้ก็ดี ทำงานรวดเร็ว นึกว่าจะแจกใบอิมมิเกรชั่นหรือใบศุลกากรเหมือนที่ทางอเมริกาเราเรียก Arriving Card ทางนั้นเขาแจกใบเรียกว่า Landing Card สำเนียงชาวนิวซีแลนด์พูดเหน่อๆ ฟังอยู่ตั้งนานถึงจะร้องบางอ้อ ผู้โดยสารไปเขียนกันเอง ใบ Landing Card ใบจอดเทียบท่า ก็ต้องกรอกข้อมูลทั่วๆไป เช่นหนังสือเดินทางเลขที่อะไร มาจากไหน ไปไหน จุดประสงค์ ใบเล็ก ๆ จบกันไม่ต้องมีการกรอกใบแจ้งศุลกากรแบบอเมริกา รับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกช่องเขียว คือช่องที่ไม่มีอะไรจะแจ้ง (Nothing to Declare) มีเจ้าหน้าที่จะนั่งดูก่อนออก และสามารถสุ่มตรวจได้

เออ..ตอนเข้าแถวผ่านอิมมิเกรชั่นอังกฤษนั้น เขาก็ยังใช้แบบอเมริกาหรือของไทย คือต้องมาให้อิมมิเกรชั่นดูหน้า ถามนิดหน่อย และเขามีป้ายแปลกว่า ห้ามพูดจาดูถูกดูแคลนเจ้าหน้าที่โดยเด็ดขาด (Notice of Abuse) เตีอนว่าจะถูกดำเนินคดี และมีโทษทั้งจำทั้งปรับ ก็ให้ชวนสงสัยว่า เจ้าหน้าที่คงโดนบ่อย ก็เลยติดป้ายเตือน ห้ามไว้ก่อน

หลังจากนั้นต้องนั่งรถไฟใต้ดิน 3 ต่อ กว่าจะถึงแฟลตที่ลูกสาวติดต่อไว้ แต่กว่าจะถึงเล่นเอาผมอาเจียนบนรถไฟฟ้าใต้ดินที่มันเก่ากระโหลก โยกไปก็โยกมา บอกว่าเป็นรถไฟใต้ดิน อยู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาวิ่งบนดินในบางช่วง แล้วก็ลงดินใหม่ เรียกว่าเล่นเอาคนที่ไม่ชินอย่างผมเมาจนอาเวจียนออกมา เดชะบุญที่เอาถุงพลาสติกเตรียมไว้ มิฉะนั้นคงจะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วขบวนเลย เห็นว่ารถไฟฟ้าเก่ากว่าบ้านเราที่เมืองไทยเยอะ เพราะใช้มานาน แต่คนก็ใช้เยอะมาก เพราะน้ำมันที่นั้นมันแพง คนใช้ขนส่งมวลชนกันทั้งนั้น และขี่รถจักรยานกันทั้งเมือง แท็กซี่ก็หายาก และไม่มีวินมอเตอร์ไซค์เหมือนบ้านเมืองไทยเรา เราพากันฉุดลากสองกระเป๋าขึ้นต่อรถไฟฟ้า 3 ขบวน แล้วเดินอีก 15 นาทีก็ถึงแฟลตที่อยู่ เห็นสภาพบ้านเมืองเขาแล้วคิดถึงแอลเอเราว่าดีกว่าเยอะ ที่นั้นมีแต่ตึกเก่า ๆ มีสารพัดชนชาติอยู่กัน ตำรวจยังไม่เจอสักคน แสดงว่าอาชญกรรมคงน้อยมั้ง

หลังจากถึงแฟลตแล้ว พักผ่อนนิดหน่อยเพราะเหนื่อยจากการอาเจียน อาบน้ำเสร็จก็ขึ้นรถเมล์ต่อไปช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ “Westfield” ที่บอกว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป ดูๆ แล้วก็มีร้านมาจากอเมริกาเยอะมาก Urban Outfitter, Hugo Boss… เข้าไปใช้ห้องน้ำซึ่งที่นั้นเรียกว่า Toilet ห้องผู้ชายเรียกว่า “Male” (อย่าไปหา Men ไม่มี) ผู้หญิงเรียกว่า “Female” ห้องน้ำชายทันสมัย ฉี่โดยไม่ต้องใช้น้ำชักโครก เขียนไว้ว่า Waterless Technologies อะไรจะขนาดนั้น อเมริกายังไม่เคยเห็น

มอลล์นี้มี 4-5 ชั้น หิวก็เลยเข้าไปที่ Food Court ศูนย์อาหาร มีหลากหลายให้รับประทาน จีน ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น เม็กซิกัน ราคาอยู่ประมาณ 10 Pounds = $14.28 US Dollars, $ 1 US = 0.93 Euro = 0.70 Pounds รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ทางยุโรป หรือไทยเรียก V.A.T. (Value added Tax)

มีร้านไทยชื่อ บุษบา (Busaba) โดดเด่นอยู่ร้านชั้นล่าง ไม่ได้อยู่รวมกับศูนย์อาหาร เห็นคนนั่งกันเต็ม น่าประทับใจที่คนไทยอยู่ที่ใดก็ทำร้านอาหารไทยได้ดี แต่มีอยู่ร้านหนึ่งในศูนย์อาหารชื่อ โรซ่า คาเฟ่ (Rosa’s Café) เห็นราคาก๋วยเตี๋ยวน้ำธรรมดาราคา 8.95 Pounds ประมาณ $13 US สู้ทานร้านที่แอลเอดีกว่า อย่างมากก็ $8 เท่านั้น คงจะค่าเช่าแพงมั้ง ก็มีคนทาน ผมเลยมาลองที่ร้านจีน เพราะเห็นเป็ดย่างปักกิ่ง หมี่ซีอิ๊ว เลยต้องลองทานดู ก็ 10 Pounds แต่ผิดหวังเพราะรสชาติที่หวานจัด คงจะให้ฝรั่งทานกัน เสร็จแล้วก็เดินเที่ยวรอบ ๆ ที่ตกใจคือ เขาอนุญาตให้เปิดบ่อนคาสิโนในช้อปปิ้งเซ็นเตอร์เลย แต่ต้องอายุ 25 ปีถึงเข้าได้ ก็เข้าไปนั่งดูเขาเล่น มีทั้งสล็อต เล่นไพ่สารพัดชนิด เห็นคนส่วนใหญ่เป็นคนเอเชียทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ผิดความคาดหมาย เหมือนบ่อนคาสิโนในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งกินเงินคนเอเชียทั้งนั้น มีสาวสวยๆมาชักชวนให้เล่น มีโชว์ดู ก็เลยถ่ายรูปมาให้ดูกันนะครับ

เกือบ 4 ทุ่มก็รู้สึกง่วงนอน เลยไปขึ้นรถบัสกลับที่นอน เพราะวันรุ่งขึ้นลูกสาวบอกว่าจะจัดเต็ม ต้องตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปทานอาหารเช้าที่ชาวอังกฤษเขาทานกัน ชื่อร้าน Regency Café ที่เพื่อนที่ออฟฟิศแนะนำมา วันนั้นเหนื่อยมาก ทัวร์แบบนี้คนจีนเขาเรียกว่า ทัวร์บั๊ว (ทัวร์ แปลว่า ลาก, บั๊ว แปลว่า ทรหด) คงต้องอ่านต่อฉบับหน้า มีเรื่องเล่าต่อ… นะครับ

“You Are Never Wrong to Do the Right Thing” Mark Twain


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย