Special Scoop
สรรหาข้อมูล…..เพิ่มพูนปัญญา….รู้ไว้ใช่ว่า

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับการร้องทุกข์จากคนไทยหลายๆท่าน ปัญหาก็แตกต่างกันไป หากผมพอจะช่วยแนะนำได้ก็ยินดีให้คำแนะนำไป บางท่านอยากให้เขียนเรื่องที่ตนประสพมา เล่าให้ผมฟังก็เป็นการช่วยเหลือคนที่ไม่รู้หรืออาจจะตกเป็นเหยื่อในอนาคตได้ ขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังสัก 2 เรื่อง

เรื่องแรก คุณน้าเช่าบ้าน (ห้อง) อยู่กับเจ้าของบ้าน มีเงินดีพอสิท (Deposit) $200 พอตอนจะย้ายออกหลังจากอยู่มานานเจ้าของบ้านก็โมเมว่า ทีวีของฉันที่อยู่ในห้องเช่าหายไปไหน คุณน้าก็บอกมา ไม่เคยมีทีวีอยู่ในห้องเลยนี่ เจ้าของห้องก็ยืนยังนอนยันว่ามี คนเช่ารำคาญก็เลยบอกจะยกทีวีที่ตนเป็นเจ้าของใช้อยู่ให้ เจ้าของบ้านก็ไม่ยอม แล้วถามผมว่าจะขอเงินมัดจำ $200 คืนได้ไหม พอผมถามว่ามีใบเสร็จรับเงินเก็บไว้หรือเปล่า มีสัญญาเช่าหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่มี ฉะนั้นมันก็คงจะมาในแบบวลีที่ว่า “ He says, She says” ต่างคนต่างพูดกันคนละอย่าง ถ้าไปขึ้นศาลเล็ก (Small Claims Court ค่าเสียหายไม่เกิน$10,000 ไม่ต้องใช้ทนาย) ศาลก็จะใช้ดุลยพินิจฟังและดูท่าทางของทั้ง 2 ฝ่ายและถามคำถามให้ตอบว่าใครน่าเชื่อถือกว่ากัน ผู้พิพากษาคงจะสรุปว่าจะเชื่อใครมากกว่า ถ้ามีพยานก็ควรเอาไปด้วย ถ้ามิฉะนั้นก็ควรมีการเขียนสัญญาก่อนย้ายเข้าไปเช่าห้องเขาว่าห้องนั้นมีเฟอร์นิเจอร์อะไรอยู่ สภาพเป็นอย่างไร เซ็นต์ชื่อรับรองทั้งคนเช่าและ เจ้าของบ้านให้เรียบร้อย เขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็เขียนภาษาไทยก็ยังดี เพราะเราจะหาคนแปลได้ ถ้ามีโทรศัพท์ที่มีกล้องด้วยก็ถ่ายเก็บไว้เลย สภาพของห้องสะอาด สกปรกแค่ไหน จะได้ไม่ต้องเถียงกันภายหลัง ผิดใจกันก่อนเข้าไปอยู่จะได้ไม่ปวดหัวในภายหลัง กฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่าเจ้าของที่ (Landlord) จะใช้เงินมัดจำได้ใน 4 กรณีเท่านั้น คือ:

1. หักจ่ายค่าเช่าที่ยังค้างอยู่

2. หักเป็นค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด แต่จะทำความสะอาดในสภาพตอนที่ผู้เช่าเข้ามาเท่านั้น (ฉะนั้นถ้าตอนเข้าไปอยู่มันสกปรกตรงไหน มีรูกำแพงที่ไหน ก็เขียนระบุ ถ่ายรูปไว้ให้ชัดเจนกันการโมเมภายหลังจากเจ้าของบ้านหรืออพาร์ทเม้น

3. หักเป็นค่าซ่อมแซมที่ผู้เช่าทำความเสียหายไว้ นอกเหนือจากการสึกหรอตามธรรมชาติแบบปกติ (ของเมื่อใช้นานก็ต้องมีสภาพเสื่อมตามอายุขัย) อันนี้ไม่สิทธิ์หักจากผู้เช่า(normal wear and tear)

4. ในกรณีที่มีสัญญาระบุในการขอค่าชดใช้ เป็นค่าเสียหายสำหรับเฟอร์นิเจอร์ ทีวี หรือแม้แต่กุญแจ ที่ผู้เช่าได้ทำความเสียหายเกินกว่าการใช้ปกติตามสภาพการของอายุการใช้งาน เช่น ไปทำกระจกในห้องน้ำแตก เอามีดมากรีดโซฟา (sofa) ด้วยความโกรธ เมา เป็นต้น เขาจะมีสิทธิ์ที่จะหักได้

นอกเหนือจากกรณีดังกล่าวนี้ ก็จะมาหักหรือยึดเงินมัดจำเราไม่ได้ กฎหมายระบุว่าเจ้าของบ้านต้องจ่ายคืนภายใน 21 วันหรือก่อนหน้านั้น หลังจากที่คุณย้ายออกแล้ว เจ้าบ้านจะต้องส่งเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน หรือ จม.เขียนบอกรายละเอียดในการหักค่าเสียหายต่างๆ โดยมีรายละเอียดว่าหักไปเพื่ออะไร ใช้ในการซ่อมที่ไหน ได้ทำความสะอาดให้อยู่ในสภาพเหมือนเดิมที่คุณย้ายเข้ามาไปเท่าไร โดยเจ้าบ้านต้องส่งสำเนาใบเสร็จในการเสียค่าใช้จ่ายที่จะมาหักเก็บกับผู้เช่าให้เราดูด้วย ในกรณีที่ผู้เช่าตายก่อน ถ้าเป็นการเช่าแบบเดือนต่อเดือน ถ้าตายก็ถือว่าการเช่าสิ้นสุดลง โดยให้ญาติหรือเพื่อนยื่นใบมรณะบัตรให้เจ้าของบ้าน การเช่าจะสิ้นสุดลง 30 วันหลังจากผู้เช่าได้จ่ายค่าเช่าเป็นครั้งสุดท้าย

ในกรณีที่มีสัญญาเช่า (Lease) สัญญาก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ภาระก็จะตกอยู่กับผู้ดูแลมรดก ผู้จัดการทรัพย์สิน (Executor หรือ Administrator) ที่ยังต้องมีพันธะจ่ายค่าเช่า จนกว่าจะหมดสัญญาตามเวลาที่ได้เซ็นตกลงกันหรือจนกว่าเจ้าของบ้านจะหาคนอื่นมาเช่าต่อได้

ในกรณีที่ผู้เช่า 1.เป็นทหารประจำการอยู่แล้ว เซ็นต์สัญญาเช่าไว้แต่ถูกคำสั่งให้ไปประจำการที่อื่นหรือกรณีที่ 2.ยังไม่ได้เป็นทหารเซ็นต์สัญญาเช่าไปแล้ว ก่อนไปคัดเลือกไปเป็นทหารและได้รับการบรรจุแล้วถูกส่งไปประจำที่อื่น อันนี้กฎหมายพิเศษอนุญาตให้คนเช่าที่เป็นทหารยกเลิกสัญญาเช่าได้ในสองกรณีดังกล่าวภายใน 90 วัน โดยการเขียนจดหมายแล้วแนบสำเนาคำสั่งของทหารที่ให้ไปประจำการที่อื่น (ข้อมูลจาก California Department of Consumer Affairs)

หวังว่าคุณน้าคงจะหูตาสว่างขึ้น รู้ถึงสิทธิของผู้เช่าแล้วนะครับ

เรื่องต่อไป คุณหมอนวดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไปในข้อหาที่มีใบขับขี่ปลอมไว้ในครอบครอง ตามกฎหมาย Penal Code 470(B), Displaying or Possession a Fake Driver’s License or Identification Card ข้อหานี้ระบุว่า ถ้าคุณมีใบขับขี่หรือ ID ปลอมมาแสดงหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในการทำผิดหรือฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกของรัฐหรือของเคาน์ตี้ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งอัยการอาจฟ้องแบบคดีร้ายแรงหรือแบบลหุโทษก็ได้ และตามภาษากฎหมายเรียกว่า “Webbler” ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคุณมีประวัติทำผิดมาก่อนหรือเปล่า เป็นเหตุผลว่าอัยการจะฟ้องแบบไหน

- ตัวอย่างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ไปเอาใบขับขี่ปลอมเพื่อนำไปใช้ซื้อเหล้า บุหรี่

- เด็กอายุต่ำกว่า 21 ปี นำบัตรปลอมเพื่อเข้าไปในไนท์คลับ ซื้อเหล้า เบียร์ ดื่ม

- ถ้าเป็นคนอยู่ผิดกฎหมาย (เช่น Visa หมดอายุ) ก็ไปซื้อหาใบขับขี่ปลอม หรือไปซื้อใบขับขี่นานาชาติเพื่อที่จะตบตาตำรวจในกรณีที่ถูกหยุดตรวจหรือเพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารหรือไปรับสวัสดิการสาธารณะต่างๆ ที่ตัวเองไม่มีสิทธิอย่างคนที่เป็นซิติเซ่น เป็นต้น

ถ้าถูกตัดสินว่าทำผิดแบบลหุโทษ (Misdemeanor) ก็อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน $1,000 หรือถ้าถูกฟ้องแบบคดีร้ายแรง (Felony) และตัดสินว่าผิด อาจถูกจำคุกตั้งแต่ 16 เดือนถึง 3 ปี ในคุกใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และปรับไม่เกิน $10,000

ปรากฎว่า จากการสอบถามคุณเจ้าของร้านก็บอกว่าตำรวจเข้าไปในร้าน เพื่อตรวจสอบใบอนุญาตต่างๆ แล้วก็ขอดูบัตรประจำตัวของคุณหมอนวดคนนี้ คุณหมอนวดคนนี้ก็ไม่ทราบว่ากลัวอะไร ไม่พูดไม่ตอบทั้งนั้น เกิดอายขึ้นมาหรืออย่างไร ตำรวจก็เลยไปถามเจ้าของร้านว่ากระเป๋าของคนคนนี้วางไว้ตรงไหน เพราะถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือตำรวจก็ยิ่งสนใจในตัวคุณมากขึ้น ต้องหาความจริงให้ได้ว่า เธอผู้นี้คือใคร มาจากไหน มีหมายจับค้างไว้ที่ไหนหรือเปล่า เพราะปกติผู้ต้องสงสัยเขาจะให้ความร่วมมือ มีแต่คนร้ายที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าคุณไม่มีความผิดอะไร หรือไม่ได้ทำผิดก็ควรตอบคำถามเขา เจ้าของร้านชี้ไปที่กระเป๋าก็พบใบขับขี่ปลอม มีชื่อรูปถ่ายของบุคคลนี้ ก็เลยจับไปแต่เรื่องยังไม่จบเพราะคุณหมอนวดอยู่อย่างผิดกฎหมาย visa หมดอายุมานาน ก็เลยถูกตั้งข้อหา PC407B แล้วส่งต่อให้คุณเกย์(INS)มารับตัวต่อไป หลังศาลตัดสินแล้ว คุณหมอนวดก็มิได้อยู่คนเดียว กลับมีลูกติดอายุ 5 ขวบฝากคนเลี้ยงไว้ด้วย โดยไม่กล้าบอกเจ้าหน้าที่เพราะกลัวว่าทางการจะส่งลูกไปอยู่กับสถานสงเคราะห์เด็ก พ่อเด็กเป็นคนต่างชาติอยู่รัฐอื่น อยู่อย่างผิดกฎหมายเช่นกันก็เลยไม่บอกเสียเลยดีกว่า ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดอย่างร้ายแรง เพราะการที่คุณบอกกับคุณเกย์ว่าเขามีลูกเกิดที่นี่อายุ 5 ขวบ เขาสามารถอนุญาตให้เราออกมาดูแลลูกได้จนกว่าคดีจะถูกตัดสินเพื่อเนรเทศออกจากประเทศนี่ แต่คิวมันยาวนะครับอาจจะต้องรอเป็นเดือนกว่าถึงจะได้ขึ้นศาล แต่คุณหมอนวดก็ไม่ยอมเซ็นต์หรือสวมเครื่อง GPS สัญญาณไว้ที่ข้อเท้า ยอมติดคุกจนกว่าจะได้ขึ้นศาล ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดผมได้แนะนำให้ติดต่อกับศูนย์ Asian Pacific Legal Center ซึ่งสถานกงสุลใหญ่แอลเอให้เงินสนับสนุนเท่าที่ทราบ แต่เจ้าของร้านบอกว่าเขาได้ติดต่อเข้าไปแล้วแต่ศูนย์ไม่รับเรื่องเพราะเป็นคดีอาญา จะให้คำปรึกษาแต่คดีเรื่องอิมมิเกรชั่น ปัญหาครอบครัว การหย่าร้าง ปัญหาที่อยู่อาศัย ผมว่ารัฐบาลไทยควรจะทบทวนการใช้เงินอันนี้ว่าถ้าไม่ช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับในคดีอาญาแล้ว ในเรื่องอื่นๆมันไม่เดือดร้อนเท่ากับคดีอาญา ผมเลยให้ติดต่อกับทาง Thai CDC ให้คุณพนิดา (Panida Rzonca) ทนายความของศูนย์ประสานให้ทนายอิมมิเกรชั่นไปเยี่ยมเยียนว่าจะช่วยเหลือให้แม่ลูกออกมาอยู่ด้วยกันให้เร็วที่สุดได้อย่างไร รู้สึกว่าเจ้าตัวอยากกลับเมืองไทยพร้อมลูกโดยเร็วที่สุด เข็ดแล้วกับสวรรค์ (นรก) ของเมืองนางฟ้านี้แน่นอน

ล่าสุดทาง Immigration ได้ปล่อยตัวคุณหมอนวดออกมาเพื่อเลี้ยงดูลูกเรียบร้อยแล้ว ขอขอบคุณทนายความ คุณพนิดา ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

บทเรียนที่ขอเตือนผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามและควบคุมตัวว่า

1. ควรให้ความร่วมมือ พูดตามความจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะถ้าทำผิด ตำรวจอาจจะสงสาร อาจจะจะตั้งข้อหาแบบลหุโทษ เขียนใบสั่งแล้วไปขึ้นศาลในภายหลังได้ หรือเตือน ถ้าไม่ยอมพูด เขานึกว่าคุณทำความผิด มีหมายจับค้างคาอยู่แน่ๆ ต้องนำตัวไปโรงพัก พิมพ์รายนิ้วมือ สอบว่าเป็นใครมาจากไหน

2. ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อย่าเพิ่งตอบ Yes หรือพยักหน้าเด็ดขาด บอกเขาว่า ขอล่ามมาแปลให้( May I have a Thai translator?) ตำรวจมีล่ามที่เป็นตำรวจเกือบทุกภาษา จะได้อธิบายให้คุณเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ให้ชัดเจนว่าทำไมถึงถูกจับข้อหาอะไร บางทีตำรวจอาจเข้าใจผิดตั้งข้อหาผิดพลาดได้

3. ห้ามใช้บัตรปลอม หรือมีไว้ในครอบครอง ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ ก็จะถูกปรับ ถ้ามีใบขับขี่ปลอม ใบขับขี่นานาชาติ (โดยที่มาอยู่และทำงานเป็นปีๆ) ใช้ไม่ได้ ก็จะถูกตั้งข้อหาหนักกว่าเดิม

4. ถ้าไม่รู้ข้อกฎหมาย ก็ควรหมั่นอ่าน นสพ.ไทย สอบถามผู้รู้ สอบถามผมมาก็ได้ ซึ่งผมก็ยินดีที่จะหาข้อมูลที่ถูกต้องมาเขียนให้ฟังนะครับ


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย