Special Scoop
ผจญภัยท่องยุโรปในฤดูหนาว ตอน 2

ก่อนอื่นต้องขอโทษที่ไม่ได้เขียนเรื่องท่องเที่ยวยุโรปต่อ หลังจากที่ได้เขียนตอนหนึ่งไปเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน จนมีแฟนคอลัมน์มาท้วงติงว่าเมื่อไรจะเขียนต่อ พอจะเขียนก็มีเรื่องด่วนแทรกเข้ามา และผมเห็นว่ามันสำคัญที่ควรนำเล่าสู่กันฟังก่อนน่ะครับ อย่างไรก็ดี หากมีอะไรที่อยากให้เขียน ผมยินดี และขอขอบคุณในคำติชมจากทุกท่าน

อย่างวันนี้ เรื่องท่านอดีตรองเชอริฟของ Los Angeles County Sherriff’s Department ท่านพอล ทานาก้า (Paul Tanaka) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกาดีน่า (เมือง Gardena อยู่ทางตอนใต้ห่างจากลอสแอนเจลิส 17 ไมล์) เป็นเมืองที่มีคนเอเชียอยู่มากโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ท่านถูกตัดสินโดยคณะลูกขุน (12 คน) ว่าผิดจริง ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายผู้ต้องขัง และผู้ที่มาเยี่ยมในสถานกักขังของแอลเอเคาน์ตี้ (Men’s Central Jail) ซึ่งอยู่ในการดูแลของแอลเอเชอริฟ ที่รับผิดชอบในการความคุมดูแลผู้ต้องขัง ตลอดจนผู้มาขอเยี่ยม

ซึ่งได้มีการร้องเรียนว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา และญาติที่มาเยี่ยม จนทางเอฟบีไอ (FBI) ต้องเข้ามาสืบสวนหาความจริง แต่แทนที่จะให้ความร่วมมือกับทางเอฟบีไอ ทางเชอริฟกลับข่มขู่พยาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของเอฟบีไอเองอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นความผิดอาญาร้ายแรง ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน (Civil Rights Violations) เป็นคดีที่ทางรัฐบาลกลางผ่านทางเอฟบีไอเข้าทำการสอบสวนท่านรองเชอริฟว่ามีส่วนในการสั่งการ จนสามารถให้คณะลูกขุนทั้งหมดตัดสินว่าท่านรองผิดตามข้อกล่าวหา โดยใช้เวลาเพียง 2 ½ ชั่วโมง ก็ตัดสินให้ผิด 2 ข้อหา เป็นคดีอาญาร้ายแรง (Felony) คือ

1. Obstruction of Justice (การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม)

2. Conspiracy to Obstruction of Justice (การสมรู้ร่วมคิดเพื่อขัดขวางกระบวนการยุติธรรม) ซึ่งโทษความผิดนั้น สูงสุดอาจต้องจำคุกถึง 15 ปี ซึ่งศาลนัดฟังคำตัดสินโทษในวันที่ 20 มิถุนายน 2016 ตามที่ผมได้เคยเขียนไปแล้วว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ในประเทศนี้ ไม่ว่าคุณจะใหญ่โตขนาดไหน…

มาเข้าสู่การเล่าการท่องเที่ยวต่อดีกว่า… หลังจากถึงกรุงลอนดอน ได้ดูการเปลี่ยนการ์ดที่พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม (Buckingham Palace) ซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชินีอังกฤษมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1837 มีผู้คนมาดูกันมากมาย ทหารของพระราชินีมีการแต่งเครื่องแบบเต็มยศ หมวกที่มีสีสัน ทรงสูง จึงถึงบางอ้อว่า กองทัพไทยทั้ง 3 เหล่าทัพคงคงเอาไอเดียจากการแต่งเครื่องแบบเพราะคล้าย ๆ กัน และได้ไปชมสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษที่เรารู้จักในชื่อ Palace of Westminster เที่ยวห้างสรรพสินค้า Harrods ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ของส่วนใหญ่ มาจากจีน (Made in China) เยอะมาก

เรานั่งรถบัสทัวร์ซึ่งสามารถขึ้นลงได้ทุก ๆ ที่ แต่ต้องขอบอกว่าผมไม่ประทับใจกับกรุงลอนดอนสักเท่าไรเลย เป็นเมืองเก่า ๆ มีความรู้สึกเศร้า ๆ อย่างไรไม่รู้ ด้วยดินฟ้าอากาศ หนาวก็หนาว วันรุ่งขึ้นตื่นเต้นมากว่าเราจะได้ไปนั่งรถไฟด่วนจากลอนดอนไปกรุงปารีส (Euro Star) รถไฟยูโรสตาร์วิ่งได้ 300 กิโลเมตรต่อชม. (หรือ 186 ไมล์ต่อชม.) เรามาขึ้นที่สถานีนานาชาติเซนต์แพงครัส (St. Pancras International) ใหญ่และมีร้านอาหารมากมาย แต่แพงหน่อย มีร้านแบบสะดวกซื้อราคาประหยัด มีแซนวิช ผลไม้ น้ำดื่มสารพัดยี่ห้อ ซื้อมานั่งทานที่ชานชาลาสถานี ถูกและอร่อย ไม่ต้องรอคิวยาว รถไฟฟ้าด่วนนี้สะอาด เบาะนั่งเหมือนนั่งเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 2 ชม.นิด ๆ ก็ถึง ห้องน้ำสะอาด ค่านั่งชั้นธรรมดา US $84

พอมาถึงสถานีกรุงปารีส ทีนี้ละงานเข้าครับ ก็เพราะจะต้องลากกระเป๋าที่มันหนัก (ยิ่งเอา 2 กระเป๋ามารวมเป็นหนึ่งเดียวด้วย) ขึ้นลงบันไดเป็น 7 ช่อง ๆ ละ 10 กว่าขั้น รวมแล้วคิดว่าไม่ต่ำกว่า 150 ขั้น คุณพระช่วยที่นี่ไม่มีลิฟท์ให้คนแก่คนพิการมาเที่ยวเลย มันไม่สะดวกเหมือนประเทศอเมริกานะ ต้องนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง 2 ต่อ แล้วเดินกันอีก 15 นาที ก็ถึงที่พัก ก็ใช้บริการของ Airbnb อีก ซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นท์ของนักเรียนเช่าอยู่ นักเรียนคนนี้ก็ฉลาด เสาร์-อาทิตย์เปิดห้องให้คนท่องเที่ยวมาเช่า เป็นรายได้พิเศษที่ช่วยเขาจ่ายค่าเช่าได้เกือบเดือน

ที่ฝรั่งเศสอากาศเย็น แต่บริสุทธิ์กว่าที่อังกฤษเยอะ และเมืองเขาสะอาด แต่ก็เงียบ ๆ เหมือนกัน มีร้านอาหารเยอะมาก ๆ แถมยังมีร้านนวด (Lisa Massage) ใกล้ ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นนวดจีน ไทย หรือเกาหลี ยังมีตลาด Careful เปิดถึง 3 ทุ่ม สังเกตดูว่าเจ้าของเป็นต่างชาติทั้งนั้น และมีคนผิวดำเป็น รปภ. คิดว่าจะอยู่ 2 วัน เลยซื้อผัก อาหาร ไข่ มาทำทานเองดีกว่า ซื้อไป 30 Euro (U.S $1 : 0.90 Euro) ก็ได้อาหารมาใส่ตู้เย็นมากมาย

ห้องเดี่ยวจุ๋มจิ๋มมาก แต่เขาจัดสวยแบบกระทัดรัด ดูดี พอเปิดเข้าไปในห้องน้ำแทบหัวใจวาย เพราะเล็กมาก จะยืนอาบน้ำก็ได้แค่คนเดียว ขยับแทบไม่ได้ ที่นั่งโถส้วมก็เล็ก พวกเราเคยชินกับห้องน้ำในอเมริกาที่ใหญ่กว่าหลายเท่า เดินทางมาทั้งวัน เหนื่อย ลูกสาวอลิสาก็จัดการทำสลัดปลาแซลมอน พร้อมกับขนมปังกระเทียมสูตรฝรั่งเศสที่ซื้อมา รับรองถ้าออกกำลังแบบนี้ ทานแบบนี้ น้ำหนักลดแน่ ๆ ถ้ามาเที่ยวกับเด็กวัยรุ่น

วันรุ่งขึ้นมีโปรแกรมทั้งวัน นั่งรถบัสเปิดประทุนเที่ยวตั้งแต่เช้า เที่ยวพระราชวังแวร์ซายส์ ที่เป็นมรดกโลกอลังการ ดูไฟที่หอไอเฟล(Eiffel Tower) ที่มีความสูง 324 เมตร หรือเท่ากับตึก 82 ชั้น ล่องเรือในแม่น้ำเซน ทักทายดูภาพโมนาลิซ่าที่พิพิธภัณฑ์ลูฟท์ (Louvre) ประทับใจมาก รูปคุณโมนาลิซ่าก็สวย (Mona Lisa) วาดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 ดังไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ล่องเรือทานอาหาร แล้วมาจบด้วยการชมโชว์ (Cabaret) ที่เก่าแก่มีชื่อเสียง มูแลงรูจ “Moulin Rouge” ที่น่าดู ประทับใจมาก จนเกือบเที่ยงคืน ก็มีรถ (รวมแล้วกับค่าตั๋ว) มารับกลับที่พัก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งวันประมาณ US $200 ต่อคน

ตื่นเช้ามา ก็เริ่มเตรียมตัวเดินทางไปที่สำนักงานท่องเที่ยว (France Tourisme) โดยนั่งรถไฟใต้ดิน 2 ต่อ ต้องยอมรับว่านครปารีสมีการวางผังเมืองไว้ยอดเยี่ยม มีสถานีรถไฟใต้ดินทุก ๆ 5 บล็อค สะดวกสบายมาก เดินนิดเดียวก็มีสถานี มีสองสายเรียกว่า Metro และ RER (Reseau Express Regional) ซื้อตั๋วนั่งรถบัสทัวร์ ซึ่งจะหยุด 9 แห่งทั่วกรุงปารีส ขึ้นลงได้ตามอำเภอใจ ราคายุติธรรม 20 Euro

มีโอกาสไปเดินถนนแห่งการชอปปิ้ง ถนนที่สวย Champs-Elysees (ชองป์ เอลิเซ่) มีร้านหรู สินค้าแบรนด์เนมทั้งนั้น ทั้ง Louis Vuitton (LV) มีคิวในบางเวลา ร้าน Chanel และสารพัดยี่ห้อครับ ผมละต้องยอมซื้อกระเป๋า Chanel กลับมาฝากแม่บ้าน 1 ใบ เพราะเมื่อก่อนแต่งงานเคยซื้อกระเป๋า LV ให้ ตอนนี้เธอขออัพเกรดมาเป็น Chanel ก็ราคาเบาะ ๆ หลักพัน แต่ยังถูกกว่าซื้อในอเมริกาสัก 20% ใครที่มาเดินถนนนี้ก็เตรียมตัวซื้อของแท้ ราคายุติธรรม รับเครดิตการ์ดทุกชนิดของอเมริกาครับ คืนนั้นต้องรีบนอน เพราะต้องออกจากที่อพาร์ทเม้นท์แต่เช้าเตรียมตัวไปอิตาลี คงต้องขอต่อฉบับหน้านะครับ


โชคดีครับ

คิด ฉัตรประภาชัย