Special Scoop



รักเมืองไทย ทะนุบำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย เสียที !

สวัสดีท่านผู้อ่านแฟนคอลัมน์ทุกท่านครับ หายกลับเมืองไทยไปเทศกาลเช็งเม้ง (เช็ง แปลว่า สะอาด บริสุทธิ์, เม้ง แปลว่า สว่าง รวมแล้วก็แปลว่า ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส รื่นรมย์) ซึ่งในปีนี้ ตรงกับวันที่ 4 เมษายน เป็นประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของชาวจีน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ คือการไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน โดยชาวไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทยก็ถือปฎิบัติตามกันมาอย่างเคร่งครัดหลายชั่วอายุคน โดยจะมีการทำพิธีเซ่นไหว้ ด้วยผลไม้ 5 อย่าง (สมัยนี้เลิกไหว้หมูย่าง เป็ด ไก่ เพราะต้องรักษาสุขภาพให้บรรพบุรุษด้วย) ส่วนใหญ่สุสานเหล่านี้อยู่ อ.บ้านบึง จังหวัดชลบุรี

ทุกครั้งที่มีโอกาสกลับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนของปี ก็จะหาเวลาไปกราบไหว้คุณพ่อที่สุสานทุกครั้ง ทำแล้วก็สบายใจที่ได้ทำหน้าที่ลูกให้คุณพ่อคุณแม่ ไปปัดกวาดหลุมศพของคุณพ่อ ซึ่งมีคนดูแลตัดหญ้าตลอดปี ซึ่งบังเอิญปีนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสบินไปตรงกับช่วงเทศกาลเช็งเม้งพอดี และก็เลยอยู่ต่อยาวถึงช่วงสงกรานต์ สนุกและรักเมืองไทยเรามากขึ้น เลยขอสรุปและมีข้อคิดเห็นมาเล่าสู่กันฟัง

เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าเที่ยวและน่าอยู่ที่สุด โดยเฉพาะต่างจังหวัด ที่ยังมีคนน้อยกว่าในกรุงเทพ คนก็ดูไม่เร่งรีบหรือจอแจเหมือนในเมืองหลวง คนไทยมีเสน่ห์ ยิ้มสยามที่จะหาจากที่อื่นมิได้ จึงไม่สงสัยเลยว่า สายการบินบินอีว่าแอร์ที่ผมนั่งจากไต้หวันเข้ากรุงเทพถึงได้นั่งกันเต็มลำกว่า 252 คน (Airbus A330-200)

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมืองไทยเราติดอันดับ 1 ที่นักท่อง เที่ยวชอบเดินทางไปกันมากที่สุด จากการสำรวจของบริษัท MasterCard Global Destination Cities Index แซงหน้าอังกฤษ ที่มาเป็นที่ 2 ตามมาด้วย ฝรั่งเศส อันดับ 3 และ สิงคโปร์ ก็มาเป็นอันดับ 4 ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งนำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นอันดับ 1 ด้วย

อีกสาเหตุหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาก ๆ คือ ค่าครองชีพของไทยที่ยังถูกมาก โดยเฉพาะถ้าเอาเงินสกุลใหญ่ ๆ เช่น เงินสหรัฐฯ ดอลลาร์ $1.00 แลกได้ถึง 34.50 บาท โดยประมาณ ค่าอาหาร ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ยังคงคิดราคาแค่ 40 บาทต่อจาน แต่อาจต้องทาน 2 จาน บวกน้ำขวดบริสุทธิ์อีก 1 ชวด 10 บาท ฉะนั้น หนึ่งมื้อก็ตกประมาณ 90 บาท หรือ $2.60 จะไปหาราคาแบบนี้ที่ไหนได้ รสชาติก็ไม่ต้องพูดถึง ยอดเยี่ยมระดับเชลล์ชวนชิมทั้งนั้น

บริการแท็กซี่หรืออูเบอร์ ก็มีให้เรียกใช้ด้วยราคาถูกแสนถูก แท็กซี่ก็เริ่มที่ 35 บาท อูเบอร์มีให้ใช้แต่ต้องระวังนิดหนึ่ง เพราะรัฐบาลยังคิดไม่ออกว่าจะเอาอย่างไร เพราะหยุดเขาไม่ได้ จับไม่หมด ขอให้รัฐบาลรีบ ๆ จัดการหาข้อสรุปเหมือนอย่างประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ไหนบอกว่าจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเข้าสู่โลกยุค 4.0 ทั้งที่บริการแท็กซี่ที่บ่อยครั้งไม่ยอมรับผู้โดยสารด้วยสารพัดเหตุผล ผมเพิ่งได้ข่าวคนขับแท็กซี่พาผู้โดยสารอดีตนางงามชาวบราซิลไปข่มขืน ยังดีที่จับตัวได้แล้ว แต่ก็ได้ทำความเสียหายต่อชื่อเสียงของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง และธุรกิจท่องเที่ยวอย่างไม่น่าให้อภัย จากการกระทำของคนโรคจิตเพียงคนเดียว

การสัญจรในกรุงเทพฯ ผมแนะนำให้ใช้รถไฟฟ้าบนดิน (BTS) หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ซึ่งถ้าคุณเป็นผู้สูงวัย หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถลดค่าโดยสารได้ครึ่งราคา แต่ต้องไปซื้อบัตร Senior โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้ากับตอนเลิกงาน รถจะติดมาก ๆ มีหนทางเดียวที่จะไปถึงจุดหมายได้เร็ว คือ BTS และ MRT ดังที่ผมเคยเขียนไปเมื่อปีก่อนว่า BTS และ MRT เห็นแก่ตัวมาก เพราะตามสถานีหลัก ๆ เช่น ศาลาแดง สยาม พญาไท หมอชิต ก็ยังไม่มีห้องน้ำสาธารณะให้ผู้โดยสารได้ใช้เลย มันเป็นไปได้อย่างไร… ผู้ว่ากรุงเทพมหานครต้องจัดการทีเถอะ จะมาอ้างว่าไม่มีที่ไม่ได้ ในเมื่อคุณให้พ่อค้าแม่ค้าเช่าแผงเป็นซุ้ม ๆ เต็มไปหมดได้ อย่าเอาเปรียบสังคมหรือประชาชนมากนักเลย รายได้ปีหนึ่ง ๆ นับเป็นหมื่นล้าน แค่ทำส้วมสาธารณะให้ประชาชนนั้น จะทำไม่ได้หรืออย่างไร นักท่องเที่ยวก็ใช้ได้และเรียกร้องมาด้วย

มาพูดถึงสถิติอุบัติเหตุใน 7 วันอันตราย คือระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2560 ก็น่าตกใจดังเช่นทุกปี คือ ตาย 390 ราย บาดเจ็บ 3,808 คน รวมอุบัติเหตุเกิดขี้นถึง 3,640 ครั้ง สาเหตุอันดับ 1 เมาแล้วขับ อันดับ 2 ขับรถเร็ว อันดับ 3 สารพัดทำผิดกฎจราจรต่าง ๆ เช่น ขับตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือ 1. จักรยานยนต์ (ไม่สวมหมวกนิรภัย + เมาแล้วขับ) 2. รถปิคอัพ 3. รถส่วนบุคคล 4. รถสาธารณะ และ 5. รถบรรทุก

เป็นที่น่าสังเกตในช่วง 7 วันอันตราย มีผู้ถูกจับทำผิดกฎจราจรกว่า 325,000 ราย ซึ่งเป็นที่น่าวิตกมาก เพราะที่อเมริกา เขาพบว่า ถ้าคนขับไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หรือค่าปรับแล้ว มันก็แก้ไขลำบาก ซึ่งจำต้องไปแก้ที่จุดเริ่มต้น คือพฤติกรรมของคนขับที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายว่ามันเป็นเพราะอะไร มาดูที่ค่าปรับ ถูกจับก็แค่ปรับ 400-1,000 บาท จะกลัวไปทำไม บางทีก็ให้สินบนเจ้าหน้าที่ ก็เสีย 200 บาท จบข่าว! ไม่มีการเก็บประว้ติคนทำผิด บางรายมีเส้นสายเสียอีก แบบนี้ไม่มีใครกลัวแน่ครับ

ฉะนั้นผมคิดว่าถ้าจะแก้จริง ๆ ต้องไปแก้กันทั้งระบบ คือตั้งแต่การควบคุมการออกใบขับขี่ การทำประวัติของผู้ขับขี่ การเชื่อมโยงการเสียค่าเบี้ยประกันภัยที่จะขึ้นสูงตามจำนวนใบสั่งที่ได้รับ แบบเป็นแต้มเหมือนในอเมริกา กระบวนการยุติธรรมก็ต้องเปลี่ยน ผมก็บอกมาตลอดว่า เมืองไทยควรถึงเวลาที่จะมีศาลจราจรในทุกจังหวัด ดูแลเรื่องค่าปรับ กระบวนการอุทธรณ์ โดยให้แยกออกจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเลย เหมือนอย่างที่สหรัฐฯ มิฉะนั้น มันจะเป็นบ่อเกิดแห่งการคอร์รัปชั่น ขั้นแรกเลย ผบ.ตร. ก็ต้องมีความเสียสละ ยกให้ทางศาลจราจรดูแลเรื่องนี้ ตำรวจจะได้มีเวลาไปดูแลเรื่องอื่น ๆ มากมาย ถ้าผู้ขับยังขับรถแบบไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎจราจร อุบัติเหตุก็จะต้องเกิดขึ้น สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง และผู้อื่นอย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงเป็นที่มาของประเทศไทยเรา ที่มีอุบัติเหตุมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก


ข้อเสนอแนะ

1) แยกอำนาจในการเปรียบเทียบปรับออกจากตำรวจ ให้ไปขึ้นกับศาลจราจร เลิกระบบการแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการออกใบสั่ง โดยเพิ่มงบให้ตำรวจจราจรได้เบี้ยเลี้ยงต่อเดือนแทน

2) บูรณาการทั้งบริษัทประกัน กรมทะเบียน กรมการขนส่ง โดยให้มีศูนย์ข้อมูลรถยนต์ ผู้ขับขี่ เพื่อควบคุมความประพฤติ ให้รู้ว่าคนที่ทำผิดต้องได้รับผลกรรมของการกระทำของเขา โดยให้พวกเขาจ่ายเบี้ยประกันที่สูงกว่าคนที่ทำถูกกฎหมายที่ไม่มีประวัติเสีย ผู้กระทำผิดอาจถูกยกเลิกใบขับขี่ชั่วคราว ควรลงทุนหาซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บข้อมูลที่ตำรวจของศาลจราจรสามารถเข้าเช็คข้อมูลได้เลย ผมได้สอบถามตำรวจไป ก็ทราบว่ายังไม่มี จะเช็คได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ดูแล้วก็ยังดีกว่าการเอางบไปซื้อเรือดำน้ำจากจีนอีกมากมาย

3) ที่สำคัญในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าสาเหตุ 7 วันอันตรายคือ เมาแล้วขับในทุก ๆ ปี ก็ควรที่จะออกกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราทุกชนิดในช่วงเวลานี้ โดยผู้จำหน่ายที่ละเมิดควรถูกติดคุก โดนปรับ และถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายถ้าผู้ดื่มไปขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น เหมือนที่นี่ รัฐบาลก็ทำได้ตอนเลือกตั้งมิใช่หรือ ก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ผลิตสุราให้หยุดการจำหน่ายให้ร้านค้าในช่วงนี้ ท่านนายกฯ มี ม.44 ใช้เลยครับ

ผมมีโอกาสได้เยี่ยมบ้านใหม่ของท่าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส แถวสามเสน อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ท่านพาลงเรือหลังบ้านไปทานกุ้งเผาใหญ่ที่อยุธยา ได้คุยกันถึงอนาคตของท่าน ที่อยากจะมีส่วนช่วยเหลือประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค “เสรีรวมไทย” ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้านะครับ


(บทความคอลัมน์บ้านเขาเมืองเราฉบับนี้เรื่อง “รักเมืองไทย ทะนุบำรุงให้รุ่งเรืองสมเป็นเมืองของไทย !” จัดพิมพ์โดยกองบรรณาธิการนสพ.เสรีชัย)


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย