Special Scoop



กรุงเทพมหานครที่รัก….. Amazing Bangkok with Love

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องเบา ๆ สบาย ๆ เพราะรู้สึกว่าสังคมไทยในแอลเอมีแต่เรื่องเครียด ๆ ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอให้พวกเราใช้สติปัญญาและใช้วิจารณญาณก่อนที่จะตัดสินว่าใครผิดใครถูก อย่าถูกใครเขาหลอก หรือฟังแต่ข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว ทุกฝ่ายมีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกในขอบเขตของกฏหมาย มิควรที่จะใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ใช้กำลังมาห้ำหั่นกัน หรือขว้างปาสิ่งของ ถูกตำรวจจับมันไม่คุ้ม ซึ่งสุดท้ายก็จะเสียใจมีประวัติอาชญากรติดตัวตลอดชีพ ชาวบ้านชาติอื่นเขาก็จะหาว่าเรายังป่าเถื่อนเอานิสัยเดิม ๆ มาใช้ในประเทศอเมริกาได้อย่างไร เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศไทยในที่สุด มองปัญหาของสังคมของประเทศในภาพรวม และหาหนทางมาพัฒนาสังคมไทยและคนไทยที่นี่ ช่วยเหลือหาทางออกกันจะไม่ดีกว่าหรือครับ ผมมีเพื่อนอยู่ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้น เลยขอไม่ออกความเห็นว่าใครผิดใครถูก แต่เราต้องเคารพความเห็นต่างความคิดต่างกันได้ แต่เราอย่ามาแตกแยกกันเลย ไม่ควรมาแบ่งพรรคแบ่งสีกัน เพราะเราก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น

ย้อนกลับไปเดือนมีนาคม 2555 ได้ร่วมไปกับคณะคอนเสริตการกุศล “รวมเสียง รวมใจ ศิลปินไทยในต่างแดน” และวีรกรรมที่ผมได้ประสบมาที่กรุงเทพฯ มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

การได้ร่วมไปกับคณะนักร้องดังในอดีต พวกเขาเป็นนักร้องอาชีพในสายเลือดจริง ๆ เพราะทุก ๆ ท่าน เช่น คุณผุสดี เอื้อเฟื้อ, สายัณฑ์ จันทรวิบูลย์, ไฉไล ไชยทา, พราวตา ดาราเรือง, ศวรรณี พัฒนะ, ยุวดี แก้วเกษ, ปนัดดา ฉายพากย์, นิตยา นนทบุตร, กวี ทองปรีชา, ไชยา สุริโย, ชลินทร์ นันทนาคร, สวลี ผกาพันธ์, ศรีไศล สุชาติวุฒิ, สุวัชชัย สุทธิมา, ธรรมรัตน์ นาคสุริยะ และหัวหน้าคณะ คุณเพ็ญพิมพ์ จิตรธร ล้วนเป็นศิลปินที่มีใจรักการร้องเพลง การแสดง ทุก ๆ เพลงที่ร้องออกมาสามารถสะท้อนความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงได้อย่างดี และสามารถสื่อต่อมายังผู้ฟังจนทุก ๆ คนที่เข้าร่วมชมในรายการคิดไม่ถึงเลยว่า นักร้องเหล่านี้ถึงแม้จะผ่านวัยทองมานานแล้ว พลังเสียง บทบาทการขับร้อง ลีลายังแจ๋วมากเลย หลายคนที่เมืองไทยอยากให้จัดอีกเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าคุณพิมพ์สามารถนำนักร้องดังในอดีตมาได้มากขนาดนี้ พวกที่เมืองไทยเลยตั้งตัวไม่ติดกับความบังเทิงถึง 4 ชั่วโมงเต็มๆ

ผมมีโอกาสเป็นครั้งแรกที่ได้คลุกคลีกับศิลปินเหล่านี้ ได้รับฟังชีวิตในอดีตที่มีแฟนคลับระดับเศรษฐี หรือเสี่ยมาเฝ้าดูการขับร้องได้ทุกคืน (ผมยังเคยนึกว่าถ้าจะมีแฟนเป็นนักร้องก็คงจะดี เขาจะได้มาร้องเพลงไพเราะต่าง ๆ ให้เราฟังคนเดียวที่บ้าน แต่เปล่าเลยครับ นักร้องส่วนใหญ่บอกว่า กลับบ้านก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับตอนจีบกันใหม่ ๆหรอก มาตอนนี้ตัวใครตัวมันแล้ว เอ๊า...ไหงเป็นอย่างนั้นไปได้)

ผมชอบและประทับใจมากกับศิลปินที่มีเสียงคลาสิคตลอดกาล อย่างเช่น คุณพราวตา ดาราเรือง ที่ขึ้นร้องเพลงทีใด เสียงปรบมือก็จะดังสนั่นทั้งโรงหนังเฉลิมกรุง เธอยังมีอารมณ์ตลก พูดดังฟังชัด โดยไม่ต้องแปล

มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีพี่คนหนึ่ง (พี่มนตรี จำนามสกุลไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ) อาสาขับรถพาพวกเรา 3-4 คน ไปทานเลี้ยงต่อหลังจากที่ได้ไปขับร้องเพลงในงานที่จัดโดยกลุ่มเพื่อนเสรีที่ ม.เกษตรฯ พี่มนตรีสายตาสั้น มองก็ไม่ค่อยจะเห็น แถมยังดื่มไวน์มาด้วย แล้วมันก็ดึกสัก 4 ทุ่มแล้ว ขับรถประมาณ 30 ก.ม./ช.ม. มีรถตามหลังบีบแตรมาตลอดทาง แกก็ขับของแกไปเรื่อย ๆ แบบตามสไตล์ขับรถชมวิว ขับผิดเข้าซอยตันบ้าง แล้วพี่มนตรีก็พูดว่า ...นี่นะคนกรุงเทพฯ มันจะขับรถเร็วไปตายห่าที่ไหนกันโว้ย.. ไอ้ผมนั่งหน้าตัวเกร็ง เพราะลุ้นว่าฉันจะไปถึงสมาคมแต้จิ๋วที่เขาจะเลี้ยงไหมนะ หรือไม่ก็จะถูกแก้งมอเตอรไซวิสามัญเสียก่อน เลยบอกกับพี่มนตรีว่า พวกเขาไม่ได้ขับเร็วหรอกครับ พี่ต่างหากที่ขับช้ามาก ๆ ขนาดคนเดินตามถนนเขายังแซงรถพี่เลย พี่พราวตาสุดทนเลยโวยออกมาว่า “แล้วนี่กูจะได้แดกไหมโว้ย” พวกเราหัวเราะลั่น หายหิวไปเลย ขับไปถึงงาน ชาวบ้านเขาทานโต๊ะจีนกันเสร็จแล้ว พวกเราก็เลยต้องทานรอบสอง สนุกสนานมากกับการแข่งร้องเพลงคาราโอเกะ

วีรกรรมที่นักร้องหลายคนรวมถึงผมที่ได้ประสบมาคือ การหกล้มในระหว่างการเดินตามท้องถนนกรุงเทพฯ มัน อเมซซิ่งจริง ๆ ครับ เมืองหลวงของเรานี้มีถนนที่แสนขรุขระ ไม่มีความสม่ำเสมอ คือ ไม่ค่อยจะสนใจชีวิตของคนเดินตามถนนเลย หลาย ๆ คนหกล้มจูบพื้นดินโดยเฉพาะถนนใกล้โรงแรมที่พวกเราอยู่ แถบโรงหนังเฉลิมกรุง วังบูรพา นะครับ ถนนมันก็แคบ แถมเจ้าของร้าน (ที่เห็นแก่ตัว) ดันเอารถมาจอดที่ฟุตบาทอีก สอบถามว่า ทำไมตำรวจไม่มาเขียนใบสั่ง ก็ได้รับคำตอบว่า เขาจ่ายตำรวจเป็นรายเดือน (ภาษีเถื่อน) เลยจอดได้ เห็นทีจะต้องสนับสนุนท่านพล.ต.อเสรีพิศุทธิ์ เตมียเวช ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานครคนใหม่ในปีหน้า (2556) เพราะได้บอกกับท่านว่า ต้องเป็นนโยบายด่วนที่จะช่วยพัฒนาถนนหนทางให้ดีขึ้นให้ทั่วถึง ไม่ใช่ทำแต่แถวสยามพารากอน เซ็นทรัลพลาซ่า หรือศูนย์การค้าใหม่ ๆ อย่างเดียว ก็เลยถ่ายรูปมาให้ดูกันว่าเป็นอย่างไร

นอกจากนั้นผมยังโดนรถปิคอัพทับปลายเท้าในขณะเดินดูของที่ตลาดคลองถมแหล่งขายของเก่า ใหม่ ปลอม ที่มีคนมาเดินเป็นจำนวนมาก แต่รถก็สามารถวิ่งเข้าออกในซอยมาเหยียบเท้าชาวบ้านได้ แล้วมันก็ขับหนีตามระเบียบ

อีกวีรกรรมหนึ่ง ก็ไปหกล้มหล่นบันไดประมาณ 9 ขั้นในโรงแรมเอราวัณ บันไดลงชั้นใต้ดินขณะกำลังจะไปงานแต่งงาน โดยที่บันไดนั้นมันสร้างแบบมีพื้นที่เล็ก ๆ จากด้านซ้ายแล้วขยายใหญ่ขึ้นไปในด้านขวา ม้วนแบบ 180 องศา ไฟสลัว ๆ โรแมนติกมากเลย บังเอิญเราดันเดินทางด้านซ้ายด้วย และไม่ได้ดูเท้า เพราะมัวมองไปข้างหน้า พลาดหกล้มกลิ้งลงมาถึงขั้นกลาง แต่จากการฝึกที่ได้รับจากตำรวนมีหลักการล้ม ก็เลยไม่มีอะไรหัก แขกที่มางานนึกว่ามีการมาถ่ายทำหนังกันเสียอีก โดยที่พระเอกกับผู้ร้ายชกต่อยกัน เลยกลิ้งลงมาทำนองนั้น

ผู้จัดการโรงแรมก็รีบมาขอโทษ สอบถามว่าจะให้ช่วยปฐมพยาบาลหรือเปล่า ก็ยังดีที่เราไม่เป็นไร จะฟ้องร้องเหมือนที่นี่ก็คงยาก ฉะนั้นถ้าไปตามโรงแรมหรือขึ้นลงบันไดในกรุงเทพฯ กรุณามองลงด้านล่าง มิน่าล่ะ คนไทยในกทม.ช่างเดินก้มหน้าก้มตา มิฉะนั้น มันต้องเจอหกล้มกันทั่วหน้ากันต่อไป

และสิ่งที่อดมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้ คือ อาหารการกิน เพราะอาหารที่โรงแรมไม่อร่อยแล้วก็แพงด้วย สู้เราออกมาแถว ๆ โรงแรมในซอยต่าง ๆ มีขายของตั้งแต่เช้าตี 5 ทานโจ๊กหมูใส่ไข่ 30 บาท ($1) พิเศษใส่ไข่สองฟอง เครื่องในหมูก็ 40 บาท และน้าเตาหู้ แม่ค้าก็มีอัธยาศัยที่ดีมาก เห็นพวกเราหน้าแปลก ๆ เพราะไม่เคยเห็น นึกว่าเป็นต่างชาติชาวเกาหลี จีนแดง เสียอีก คุย ๆ กันก็แถมปาท่องโก๊ให้อีก ก็เลยต้องทิปให้ด้วย คุณเขาบอกว่าวันหนึ่งขายได้สัก 1,000 กว่าบาทก็แฮปปี้แล้ว

นี่แหละครับเสน่ห์ของกรุงเทพมหานคร ถ้ามีโอกาสก็ต้องไปกันอีก แต่ถ้าอยากฟังเพลงดีๆจากศิลปินดังมีคุณภาพก็ต้องหาฟังกันที่แอลเอ ที่ไทยแลนด์พลาซ่านะครับ รับรองไม่ผิดหวัง


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย