Special Scoop
ความสัมพันธ์ระหว่าง ตำรวจ กับ ชนกลุ่มน้อย

ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์ “เสรีชัย” ที่จะฉลองครบรอบ 40 ปีในสัปดาห์นี้ หนังสือพิมพ์นี้มีชื่อเดิมว่า “เสรีชน“ เป็นหนังสือเก่าแก่ฉบับหนึ่งในลอสแอนเจลิส และมีนักเขียนที่เริ่มจากหนังสือพิมพ์นี้แล้วโด่งดังหลายๆ ราย บางคนไปเปิดหนังสือพิมพ์เอง บ้างก็เปิดกิจการอื่นๆ ก็มาก ส่วนผมคนหนึ่งที่เข้ามาเป็นนักเขียนสมัครเล่นในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่อยากเขียนเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ผมได้จากการทำงานหลายหน่วยงานของรัฐบาลที่นี เพื่อให้เป็นความรู้แก่ชุมชนไทยได้ไม่มากก็น้อย ต้องขอขอบพระคุณ พี่วัลลภา ดิเรกวัฒนะ ที่เป็นผู้ชักชวน และสอนผมในการเขียนในหนังสือพิมพ์เสรีชัยเป็นครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขอบคุณ คุณบุญญลักษณ์ เจริญกิจการ ผู้จัดการบริหาร และคุณเจี๊ยบ ที่คอยพิมพ์บทความให้ ขอขอบพระคุณทุกๆท่านจากใจจริง ที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนผมมาด้วยดีมาโดยตลอด ผมขออวยพรให้หนังสือพิมพ์ เสรีชัย อยู่ยงคงกระพัน อยู่คู่กับชุมชนไทยในสหรัฐฯ ได้อ่านกันไปตลอดนะครับ และเป็นสื่อที่ให้ความรู้ ข่าวสารทันเหตุการณ์ และมีบทความต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ กับประชาชนคนไทยในต่างแดน ทั้งยังเป็นกระบอกเสียงให้กับพวกเราชาวไทยโพ้นทะเลด้วย

มาเข้าเรื่องในวันนี้… เพราะมีคนไทยติดต่อสอบถามผมเรื่อง เมาแล้วขับมาอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ เพราะโดนทั้งตำรวจทางหลวง (California Highway Patrol) หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “CHP” และตำรวจท้องถิ่น เชอริฟ สงสัยว่าเมาแล้วขับหลายรายถามว่า จะทำอย่างไรต่อ บางรายถูกจับใส่กุญแจมือเข้าคุกอเมริกาเป็นครั้งแรก เรียกว่า เสียสติกันไปเลย ขวัญหาย บางรายถึงกับบอกว่า อยากกลับเมืองไทยดีกว่า นึกว่ากฏหมายเหมือนบ้านเราคือ เจรจาคุยกับตำรวจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะคงไม่เคยอ่านบทความที่ผมเขียน หรืออ่านจากหนังสือ “คิดแบบคิด ฉัตรประภาชัย” ในเรื่องเมาแล้วขับ “Driving Under Influence (DUI)” หน้า 65 เลยไม่ยอมให้ตำรวจจับเป่าเพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ (Breathalyzer) หรือเรียกย่อๆ ว่า B.A.C. (Blood Alcohol Concentration) และถ้าหากคุณมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 0.08% ก็ถือว่าเมาตามกฎหมายแล้ว หรือถ้าเป็นคนขับที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี แค่ 0.01% ก็ถือว่าเมาแล้วตามกฎหมายเช่นกัน กรณีคุณจะไม่เป่าเครื่องตรวจ ตำรวจก็พาไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาล อันนี้ก็ยิ่งแน่นอนว่าคุณเมารึเปล่า แต่ถ้าคนขับไม่ยินยอมให้ตรวจทั้งสองอย่าง ตํารวจเราชอบเพราะไม่ต้องเสียเวลาขับไปโรงพยาบาล และใบขับขี่ของคุณจะถูกยกเลิกทันทีโดยทาง DMV เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่มีการอุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

รายนี้ผมถามว่าทำไมถึงปฏิเสธในการเป่าหรือเจาะเลือด… เพราะเขานึกว่าตำรวจจะได้ไม่มีหลักฐานว่าเขาเมา (โอ้ย...คิดได้อย่างไร) แต่ตำรวจเราฉลาดกว่า เพราะก่อนที่จะจับคนขับรถเมานั้น เขาขับตามดูจากการขับรถของคุณมาระยะหนึ่งแล้ว สังเกตุเห็นว่า ขับรถส่ายไปมาหรือเปล่า เปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญาณ เปลี่ยนไปเปลี่ยนกลับ ขับทับหรือล๋าเส้นเลน ขับเร็วกว่ารถปกติ แซงคันอื่นๆแบบน่าวาดเสียว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสัญญาณของคนเมาแล้วขับโดยทั่วๆ ไป เพราะตำรวจจะต้องเขียนรายงานการจับกุมอย่างละเอียดและชัดเจนก่อนที่ตั้งข้อหาได้ และสามารถนำไปประกอบคดีเผื่อคนขับจะสู้ ทั้งอัยการ และผู้พิพากษาจะอ่านอย่างละเอียด จึงจะสามารถหยื่นฟ้องตามรายงานของตำรวจได้ ในรายงานนี้จะบอกว่า ตำรวจได้ขับตามรถผู้ต้องสงสัยมา… 2-3 ไมล์ คนขับขับส่ายไปมา พอเรียกให้หยุดก็สังเกตุเห็นคนขับมีตาแดง น้ำตาคลอเหมือนว่าจะไหล (Red/Watery Eyes) ตำรวจพูดด้วยก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ (Breath Odor of Alcoholic Beverage) มีท่าทางมึนงง (Confused) พูดจาติดๆ เหมือนคนติดอ่าง (Slurred) จึงเรียกลงจากรถมาทดสอบภาคสนาม( Field Sobriety Test,… F.S.I.)

ซึ่งมี 4 อย่างดังนึ้:

1. ยืนขาเดียวทดสอบการทรงตัว (Romberg Balance Test)

2. เดินหน้าและหมุนกลับ (Walk and Turn Test)

3. ยกขาข้างซ้ายและขวา 45 องศา ขาละ 30 วินาที (One Leg Stand Test)

4. ดูจากลูกตาที่อยู่ไม่นิ่ง (Finger To Nose Test หรือเรียกว่า Horizontal Gaze Nystagmus)

ซึ่งรายละเอียดการทดสอบภาคสนาม ผมขอนำจากหนังสือของผม “คิดแบบคิด ฉัตรประภาชัย” มาลง ณ ที่นี้

“Driving Under Influence (D.U.I.) Check Points ด่านตรวจเช็คคนขับรถเมาสารเสพติด

มีหลายท่านโทรมาถามว่าโดนจับเพราะขับรถในระหว่างที่มึนเมาด้วยสารต่างๆ เช่น ยาเสพติด ยาระงับประสาท หรือแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆ เบียร์ เหล้า ไวน์ โดยเฉพาะเทศกาลต่างๆกำลังจะมาถึง ทางรัฐบาลกลางเขามีงบพิเศษมอบให้กับทุกสถานีตำรวจให้ไปตั้งด่านตรวจผู้ขับขี่ที่บางท่านอาจจะเคยขับเข้าไป แล้วโดนตรวจ เรียกว่า DUI (Driving Under Influence) or Sobriety Checkpoints

ส่วนมากแล้ว ตำรวจจะตั้งด่านตรวจนี้ในวันศุกร์หรือวันเสาร์ เพราะเป็นวันที่มีคนออกมาเที่ยวดื่มสุรากันมาก รวมไปถึงพวกที่ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และตรงนี้ยังขอเตือนด้วยความหวังดีว่า ถ้าหากคุณพบเห็นทุ่นพลาสติกสีส้มวางเป็นแนวกลางช่องระหว่างเลนถนนแล้ว ก็อย่าได้พยายามที่จะกลับรถ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจของเรานะครับ เพราะมันสายไปแล้วครับ เพราะตำรวจรู้จึงได้เตรียมวางกำลังตำรวจมอเตอร์ไซด์ไว้หลายคัน เรียกว่า Chase Cars เพื่อจับคนขับรถที่จะหลีกเลี่ยงพวกนี้โดยเฉพาะ นั่นเพราะตำรวจย่อมรู้ว่าเหตุที่รถเหล่านั้นไม่เข้าช่องให้ตรวจ แสดงว่าคงต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่แท้ ถ้าเข้าช่องปกติก็เตรียมเปิดกระจก เตรียมใบขับขี่ (ที่ยังไม่หมดอายุ) ห้ามใช้ใบขับขี่นานาชาติที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพราะว่าใช้ไม่ได้ครับ จากนั้นตำรวจก็จะส่องตาของคุณ สัมภาษณ์เล็กน้อย เพื่อตรวจสอบว่ากลิ่นปากมีเบียร์ เหล้า หรือมีลักษณะมึนๆ ตาแดงหรือไม่ บางคนนั้นพูดจาติดๆขัดๆ เราก็จะบอกให้เขาขับเข้าไปในสนามทดสอบของเราที่เตรียมไว้ เสร็จแล้วก็จะเชิญให้คนขับออกจากรถ แล้วตรวจค้นเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย หรือพกพาอาวุธใดๆ หลังจากนั้นจะเริ่มทดสอบความพร้อมในการขับรถที่มีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่

แบบทดสอบที่ 1 เรียกว่า Romberg Balance Test (ทดสอบการทรงตัว) เป็นการทดสอบทางการทรงตัว ถามเวลา ถามวัน ว่าเป็นวันอะไร ขับรถอยู่บนถนนอะไร เพราะถ้าคนเมาจะตอบถูกตอบผิด บางคนยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ขับรถไปไหนก็ยังไม่แน่ใจ การทดสอบนี้ ตำรวจจะทำการอธิบายให้เราเข้าใจถึงวิธีการตั้งแต่แรก ดังนั้นคุณต้องตั้งใจฟังให้ดี และทำตาม ไม่ต้องรีบร้อน สามารถสอบถามกันได้ ในการทดสอบนี้ ตำรวจจะให้คุณยืนตัวตรง มือทั้งสองไว้ที่ข้างตัว เงยศีรษะไปทางด้านหลัง จากนั้นหลับตา แล้วให้คุณเริ่มนับในใจ 30 วินาที แล้วลืมตา จากนั้นหันศีรษะลงมา แล้วบอกกับตำรวจเมื่อครบ 30 วินาที ถ้าคุณใส่แว่น ตำรวจก็จะให้คุณถอดแว่นออก ซึ่งในระหว่างการทดสอบนี้ คนที่มีอาการเมามักจะเกิดอาการเซไปมาแล้วนับในใจไม่ได้ บางคนถึงกับหงายหลังล้มทั้งยืนเลยก็มี เท่ากับว่าไม่ผ่านการทดสอบ แต่ถ้าผ่านขั้นแรกนี้แล้ว ก็จะต้องไปทดสอบขั้นที่ 2 ต่อไป

แบบทดสอบที่ 2 เรียกว่า Walk and Turn Test (เดินหน้าแล้วหมุนกลับ) การทดสอบในขั้นนี้ จะให้คุณเดินเป็นเส้นตรงโดยยกส้นเท้าขวาประชิดเหนือนิ้วเท้าซ้าย และยกส้นเท้าซ้ายเหนือนิ้วเท้าขวา ทำสลับไปมาติดกันเป็นจำนวน 9 แล้วหมุนกลับเดินส้นเท้าถึงหัวเท้าเหมือนเดิมอีก 9 ก้าว เป็นการทดสอบเพื่อตรวจว่าคุณสามารถทรงตัวเดินอยู่ในเส้นตรงได้ขนาดไหน บางรายนั้นเดินเร็วจนกระทั่งล้มไปก็มี เพราะคิดว่าจะเดินเร็วให้ได้ 9 ก้าว ซึ่งแขนต้องอยู่ข้างตัว แล้วนับดังๆให้ตำรวจฟังด้วย ถ้าผ่านแล้ว ก็จะไปสู่บททดสอบขั้นต่อไป

แบบที่ 3 เรียกว่า One Leg Stand Test (ยกขาข้างซ้าย และขวา 45 องศา ขาละ 30 วินาที) ในขั้นนี้ จะให้คุณยืนตัวตรง แขนทั้งสองอยู่ด้านข้าง แล้วยกเท้าซ้ายขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว จากพื้นดิน โดยชี้เท้าไปข้างหน้าตรง แล้วเริ่มนับ One Thousand One, One Thousand Two, One Thousand Three… นับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าตำรวจจะบอกให้หยุดนับ ถ้าระหว่างนั้นขาแตะพื้น ก็ให้ยกขึ้นมาใหม่ แล้วนับต่อ ถ้าผ่านการทดสอบนี้ก็จะเข้าสู่ขั้นสุดท้าย

แบบที่ 4 เรียกว่า Finger To Nose Test การทดสอบนี้ก็จะให้คุณยืนตรง แขนยื่นออกมาด้านหน้าทั้งสองข้าง โดยให้ฝ่ามือทั้งสองหงายขึ้นแล้วยื่นนิ้วชี้ซ้ายหรือขวาออกมาแตะปลายจมูก แล้วให้เงยศีรษะไปด้านหลัง หลับตาลง ในบางครั้งถ้าคนขับเมาก็จะฟังผิดฟังถูกใช้นิ้วผิดข้างบ้าง ต้องฟังคำสั่งของตำรวจให้ดี ว่าเขาจะสั่งการให้ใช้นิ้วข้างไหนแตะปลายจมูก ซ้ายหรือขวา หรือขวาแล้วซ้าย

ถ้าหากคุณสามารถผ่านการทดสอบทั้ง 4 แบบนี้ได้แล้ว ก็จะโดนให้เป่าหาแอลกอฮอล์จากอุปกรณ์ขนาดเล็กๆสำหรับตรวจจับปริมาณแอลกอฮอล์ (Breathalyzer) ซึ่งถ้ามันชี้ว่าคุณมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 0.08% ก็จะโดนจับใส่กุญแจมือไปโรงพักทันที เพื่อนำไปทดสอบเป่าใส่เครื่องขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลอย่างละเอียดและเที่ยงตรงในการตรวจหา BAC (Blood Alcohol Concentration) จากนั้นตำรวจจะให้คุณเป่า 2 ครั้ง ถ้าผลออกมายังไม่แน่ชัด ตำรวจก็มีสิทธิ์ที่จะนำตัวคุณไปตรวจเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะที่โรงพยาบาล ซึ่งในขั้นนี้แล้ว แพทย์จะเป็นผู้ยืนยันผลพิสูจน์ออกมาได้ชัดเจนที่สุด

หลักจากโดนจับ ตำรวจจะลากรถของคุณไปเก็บให้อย่างดี (คุณต้องเสียเงินค่าเก็บรถให้ตำรวจตอนที่ไปเอารถคืนมา) ระหว่างนั้นตำรวรจะนำตัวคุณไปฝากขังเพื่อให้หายเมาอย่างน้อยสัก 4-8 ชั่วโมงเพื่อให้หายเมา แล้วคุณก็จะโดนให้เซ็นต์ใบสั่ง (Notice to Appear) เพื่อให้มาขึ้นศาลจราจรตามวันเวลาและศาลที่ทางตำรวจเป็นผู้กำหนดให้ ในกรณีที่เมาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็จะต้องติดคุก และต้องจ่ายค่าประกันตั้งแต่ 5 พันเหรียญขึ้นไป ในกรณีที่คนขับนั้นมีอายุต่ำกว่า 21 ปี ถ้าตรวจแอลกอฮอล์พบเกิน 0.01 BA. ก็จะโดนจับเช่นกัน เพราะตามกฏมายแล้วถือว่าคนอายุต่ำกว่า 21 ปี “ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด”ในใบสั่งจะเขียนข้อหาว่า CVC 23152 (a) Driving a vehicle while under influence of alcoholic beverage or and drug เป็นลหุโทษ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับกรณีต่างๆที่พึงต้องจดจำและระวัง ได้แก่

ถ้าเป็นคนขับที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ก็จะโดนตั้งข้อหา CVC 23136 (a) Driver under 21 with 0.01 BA. Driving Under Influence of Alcoholic or Drug ตำรวจจะยึดใบขับขี่ของคุณ หลังจากได้ออกใบสั่งในข้อหาดังกล่าว ทำให้คุณต้องรีบไปติดต่อกับ DMV เพื่อยื่นอุทธรณ์ (Hearing) เพราะคุณจะขับได้แค่ 30 วันเท่านั้น หลังถูกยึดใบขับขี่ ตำรวจจะทำรายงานไปให้ DMV โดยทั่วไปคุณจะโดนตัดสิทธิ์ในการขับรถเป็นเวลา 4-6 เดือน ซึ่งถ้าเป็นครั้งแรกที่ถูกจับตัว แล้วขออุทธรณ์กับ DMV เขาอาจจะอนุญาตให้คุณขับรถจากบ้านไปที่ทำงานในเวลาที่เขากำหนดให้ ซึ่งหลัง 6 เดือนไปแล้ว คุณต้องเสียค่าใบขับขี่ใหม่อีก $123

ถ้าคุณเคยถูกจับ DUI มาแล้วภายใน 10 ปี เขาจะโดนตัดสิทธิ์ขับรถเป็นเวลา 1 ปี

ถ้าคุณปฏิเสธตำรวจที่จะให้เป่าหาแอลกอฮอล์ หรือตรวจเลือดและปัสสาวะ จะส่งผลทำให้ใบขับขี่โดนยกเลิกเป็นเวลา 1 ปีในทันที ถ้าหากเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในเวลา 10 ปี ก็จะโดนตัดสิทธิ์ 2 ปี

เมื่อคุณต้องไปขึ้นศาล ผู้พิพากษาก็จะถามคุณว่า จะยอมรับความผิดหรือไม่ ส่วนมากแล้วก็มักจะยอมรับความผิดกัน แล้วศาลก็จะสั่งปรับ แล้วให้ไปโรงเรียนสอนขับรถสำหรับคนเมา และที่มักโดนกันแทบทุกคนคือให้ไปทำงานเป็นประโยชน์กับชุมชน ตามแต่จะกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่คำสั่งศาลจะพิจารณา หลังจากนั้นคุณก็จะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันรถแพง บางรายถึงกับโดนยกเลิกเลย เพราะความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมีสูง ดังนั้นบริษัทประกันจึงไม่เล่นด้วย

ฉะนั้น ถ้าคิดจะดื่มแอลกอฮอล์ก็อย่าริขับเลย ควรเรียกเพื่อน หรือหารถแท็กซี่ที่ดูแล้วปลอดภัยให้ไปส่งย่อมคุ้มกว่า ซึ่งตำรวจรอบดึกที่นี่นั้น หน้าที่หลักของเขาคือการจับคนเมาขับรถตอนบาร์เลิก ร้านอาหารที่ขายแอลกอฮอล์ก็ต้องให้การช่วยเหลือคนเมาให้กลับบ้าน มิฉะนั้นคุณอาจจะต้องถูกสอบสวนหรือถูกฟ้องจากผู้บาดเจ็บ ถ้าคนขับนั้นขับรถไปชนเพราะเมามาจากร้านของคุณนะครับ”

สรุปอย่าขับขณะเมา เพราะต้องไปขึ้นศาล และอาจมีสิทธิ์ติดคุก ถูกให้ทำสาธารณะประโยชน์อีกหลายสิบชั่วโมง เช่น เก็บขยะตามฟรีเวย์ คุณจึงไม่ควรที่จะปฏิเสธในการทดสอบในขณะถูกจับ ให้ตำรวจเข้าตรวจตามหน้าที่ ถ้าเมาครั้งแรกจะถูกยกเลิกใบขับขี่ 6 เดือน ต้องไปเรียนหนังสือเกี่ยวกับการขับรถด้วยความรับผิดชอบ 32 ช.ม.3 เดือน ตามโรงเรียนที่ศาลระบุให้ ค่าเรียน 485 เหรียญ ไหนต้องเสียค่าปรับ ค่าจ้างทนาย ได้แสดงค่าใช้จ่ายที่เอาจากเว็บไซต์ดของ CHP มาให้ดู เสียเงินและ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ อย่าทำเด็ดขาดไม่คุ้ม และถ้าคุณดื่ม คนเราจะหลอกตัวเองว่า ฉันยังไม่เมา แต่อาการมันบ่งบอกในทางตรงข้ามเพราะสอบตกภาคสนามของตำรวจหมด เรียกคนมารับหรือใช้บริการ “Uber” สะดวกมาก มารับคุณภายในระยะเวลา 5 นาทีเป็นอย่างมาก แท็กซี่ก็ได้ ถูกกว่าเยอะ

Don’t Drink and Drive!!

How much does a DUI Cost me? ค่าใช้จ่ายต่างๆที่คุณต้องจ่าย

Vehicle towing and storage: $187 ค่าลากรถ

Booking, fingerprinting, jail costs: $156 ค่าธรรมเนียมต่างๆในการทำประวัติ พิมพ์นิวมือ ถ่ายรูป

Fines (minimum) $468 ค่าปรับ

Penalties (minimum): $780 ค่าโทษปรับ

Attorney and legal fees: $5,000.00 ค่าจ้างทนายความ

Car insurance increase: $8,652 ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนตร์ขึ้น

DUI victim fund: $100 ค่าบริจาดมูลนิธิ เมาแล้วขับ

Driver license reinstatement: $125 ค่าต่อใบขับขี่หลังจากพ้นโทษ

DUI classes: $500 ค่าเล่าเรียน

Total Approx: $15,968.00


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย