Special Scoop



“วันเวลาไม่เคยคอยใคร” Time And Tide Wait For No Man!

เราเพิ่งฉลองวันขึ้นปีใหม่หยกๆ ตอนนี้ก็จะหมดเดือนมกราคม 2560 แล้ว รู้สึกเหมือนว่า พอเรามีอายุมากขึ้น เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผิดกับตอนสมัยทำงาน ที่รู้สึกว่าเวลามันเดินช้าเสียเหลือเกิน ได้แต่มองนาฬิกาว่า เมื่อไหร่จะถึง 5 โมงเย็นสักที ซึ่งเป็นเวลาที่ออฟฟิศปิด ก็จะได้กลับบ้าน

แต่ทุกคนก็เดินทางมาประเทศอเมริกาเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า มาหาเงิน หาความรู้ หาประสบการณ์ บ้างก็มาค้นหาตัวเอง บ้างก็อยากมาเป็นนกน้อยในกรงทอง บ้างก็โชคดีได้ใบเขียวจากการแต่งงาน บ้างได้ใบเขียวล็อตโต้ก็มี แต่ทุกคนก็ต้องต่อสู้กับชีวิตในดินแดนที่ห่างไกลจากบ้านเกิด บางคนก่อนมา นึกว่าจะมาขุดทอง สุดท้ายมานั่งนอนร้องไห้น้ำตาตกในก็หลายคน จะกลับบ้านหรือ ก็ไม่ได้ เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว อายเขาแย่…

สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำได้ คือการคบหาเพื่อนที่ดี ที่คอยให้กำลังใจกันและกัน บางคนว่างก็เข้าวัด ฝึกสมาธิ เข้าถึงธรรมะ เกิดสติปัญญา ปล่อยวางความทุกข์ได้บ้าง ปลงตก และยอมรับ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

วันนี้ขอนำทฤษฎีของศาสตราจารย์และนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ABRAHAM HAROLD MASLOW (1908-1970) ผู้ได้วิจัยและเขียนทฤษฎีเกี่ยวกับ ลำดับความต้องการของมนุษย์ ที่เรียกว่า MASLOW’S HIERARCHY OF NEEDS”

มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งนักจิตวิทยากลุ่มนี้เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เกิดมาดีและพร้อมที่จะทำสิ่งดี ถ้าความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ มาสโลว์ (Maslow) เป็นผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้าถึงความต้องการของมนุษย์ โดยมองเห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความต้องการที่จะสนองความต้องการให้กับตนเองทั้งสิ้น ซึ่งความต้องการมนุษย์ มีมากมายหลายอย่างด้วยกัน เขาได้นำความต้องการเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นลำดับจากขั้นต่ำไปขั้นสูงสุดเป็น 5 ขั้น ด้วยกัน

1. ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความเจ็บป่วย และต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย ทุกคนต้องการสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน อาจแตกต่างกันเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ วัย และสถานการณ์ ฯลฯ ความต้องการปัจจัย 4 ดังกล่าวข้างต้น หากเพียงพอแล้ว มนุษย์จะพัฒนาในขั้นต่อไป

2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (safety needs) เมื่อได้รับความพึงพอใจทางด้านร่างกายแล้ว มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สองคือ ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย สิ่งที่แสดงถึงความต้องการขั้นนี้คือ การที่มนุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบียบวินัย ไม่รุกรานผู้อื่น ความต้องการระดับนี้อาจแยกย่อยได้ดังนี้

- ความมั่นคงในครอบครัว การมีบ้านแข็งแรงปลอดภัย มีความรักใคร่ปรองดองกันในครอบครัว

- ความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายได้ยุติธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เสี่ยงอันตราย ผู้บังคับบัญชาดีมีความยุติธรรม ฯลฯ

- มีหลักประกันชีวิต เช่น มีผู้ดูแลเอาใจใส่ยามชรา ยามเจ็บไข้

3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (belongingness and love need)

- ความต้องการมีเพื่อน

- ความต้องการการยอมรับจากกลุ่ม

- ต้องการแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม

- ต้องการรักคนอื่นและได้รับความรักจากคนอื่น

- ต้องการความรู้สึกว่าสังคมเป็นของตน

4. ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง และความภาคภูมิใจ (self- esteem need) ได้แก่

- ต้องการยอมรับความคิดเห็นหรือข้อเสนอ

- ต้องการเกียรติยศชื่อเสียงจากสังคม

- ต้องการนับถือตนเอง มีความมั่นใจตนเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

- ต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น

- ต้องการความมั่นใจในตนเอง และรู้สึกตนเองมีคุณค่า

5. ความต้องการตระหนักในตนเอง (self-actualization need) ได้แก่

- ต้องการรู้จักตนเอง ยอมรับตนเอง เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์โดยไม่โกรธ

- ต้องการรู้จักแก้ไขตนเองในส่วนที่ยังบกพร่อง

- ต้องการพัฒนาตนเอง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเกี่ยวกับตนเอง

- ต้องการค้นพบความจริง พร้อมที่จะเปิดเผยตนเองโดยไม่มีการปกป้อง

- ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง


ลองมาวิเคราะห์ดูนะว่าเราอยู่ในขั้นไหน แล้วเราอยากไปถึงลำดับขั้นไหนกัน… อย่างไรก็แล้วแต่ การเริ่มต้นจากสุขภาพร่างกายนั้นสำคัญที่สุด ผมมีโอกาสได้ดูคลิปของ คุณหมอบุญชัย อิศราพิสิษฐ์ หมอทั่วไป จบจากโรงพยาบาลศิริราชมา 30 กว่าปี ท่านโดนโรคของประเทศที่เจริญรุมเร้าถึง 6 โรค คือ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตับอักเสบรุนแรง ไขมันในเลือดผิดปกติ และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้ท่านรู้ว่าโรคร้ายเหล่านี้ ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น แต่ท่านไม่ยอมแพ้ หรือทานยา แต่กลับไปศึกษาและปฏิวัติพฤติกรรมการทานอาหาร โดยเอาหลักธรรมชาติมาใช้ และในเวลาแค่ 4 เดือน โรคทั้ง 6 ก็อันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผมเลยขอนำบทสรุป มาแชร์เพื่อเป็นประโยชน์ และบทเรียน เผื่อใครจะนำไปปฏิบัติได้ ก็จะดีกับตัวเอง มี 5 ข้อห้าม กับ 5 ต้องทำ


5 ห้ามมีดังนี้

1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ (Negative Imaginations) เช่นการสร้างภาพลบ จะด้วยอารมณ์ลบ ทัศนคติลบ หรือจิตที่ถูกปรุงแต่งโดยจินตนาการไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งการคิดแบบนี้ จะส่งผลต่อร่างกายของเรา ทำให้เครียดและทุกข์ได้ ร่างกายจะสะสมเซลส์ไม่ดี (Oxidations) ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ถ้าไม่แข็งแรงอยู่ จะทรุดหนักขึ้น

2. ห้ามอ้วน (Overweight) การดูแลน้ำหนักตัว หญิงไม่ควรมีเอวเกิน 32 นิ้ว ชายไม่ควรเกิน 36 นิ้ว โดยการเลือกกินอาหารธรรมชาติดิบ ๆ คือพืชผักผลไม้ที่ไม่ผ่านการปรุงสุกด้วยวิธีการใด ๆ เป็นไปตามวิถีการกินแบบดั้งเดิมของมนุษย์ ห้ามกินผลไม้หวานเกินไป

3. ห้ามรับประทานน้ำตาล นั่นคือตัวอ้วน ตัวป่วย ตัวก่อโรค ในเลือดคนเรามีน้ำตาลครึ่งช้อนชาเท่านั้น แต่รู้ไหมว่า ในน้ำอัดลม 1 ขวด/กระป๋อง มีน้ำตาล 8 ช้อน น้ำผลไม้ น้ำชาเขียว น้ำดื่มชูกำลัง ที่คิดว่าดีต่อสุขภาพ เสียเงินและเป็นการเอาโรคเข้าตัว เพราะปริมาณน้ำตาลที่แอบแฝงมาในจำนวนที่สูงมาก งดขนม ของหวาน

4. ห้ามรับประทานไขมัน TRANS FAT หรือไขมันที่ผ่านความร้อนแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกาย ไม่ควรทานของทอด ของผัด ก็สามารถตัดโรคไปเยอะ ตัวอย่างเช่นในครีมเทียม 1 ซอง เท่ากับกล้วยแขกเป็น 100 ชิ้น ให้ทานไขมันอิ่มตัว บริโภคน้ำมันดิบ เช่นน้ำมันมะกอกดิบ น้ำมันมะพร้าว หรือถั่ว

5. ห้ามทานเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เหล่านี้ เป็นสัตว์ฉลาด ก่อนจะถูกฆ่าตาย มันจะปล่อยสารพิษ ที่ก่อเกิดโรคมะเร็งมาฝากเรา หมูและเนื้อวัวมักได้รับการฉีดสารเร่งโตหรือเร่งเนื้อแดง ซึ่งทำให้มีสารตกค้างมาสู่ผู้บริโภค สัตว์เหล่านี้เนื้อเหนียว ย่อยยาก ตัวอย่างการย่อย เช่น พืชผักผลไม้ ใช้เวลา 4 ชม. /เนื้อหมู 3 วัน /เนื้อปลา 1 วัน ให้รับประทานสัตว์น้ำ เพราะเลือดเย็น มีไขมันโอเมก้า 3 เช่นหอย ปู ปลา กุ้ง หรือเนื้อไก่ก็จะดีกว่า


5 ต้องมีดังนี้

1. ต้องรับประทานผัก ผลไม้สด โดยกินให้ได้ครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร น้ำปั่นผลไม้แบบไม่หวาน โดยให้กินผลไม้ที่ไม่หวานมากก่อนอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียดเพราะจะผ่านลำไส้ได้ง่าย เพื่อการดูดซึมเอ็นไซม์และวิตะมินได้ดี ทำให้ระบบขับถ่ายดี และทานถั่วขาว เมล็ด ALMOND

2. ต้องรับประทานข้าวให้น้อยที่สุด โดยอายุ 30 ปี ตัก 2 ทัพพี/อายุ 40 ปี 1ทัพพีครึ่ง/อายุ 50 ปี 1 ทัพพี/อายุ 60 ปี ตักครึ่งทัพพี ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แนะนำทานข้าวไรซ์เบอรี่ (RICEBERRY) ข้าวกล้อง จะได้สารอาหารที่มีประโยชน์

3. ต้องออกกำลังกาย อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงต่อวัน เพื่อช่วยให้การเต้นของหัวใจให้มีพลัง จะทำให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมากับเหงื่อ ลดการทำงานของไตได้

4. ต้องนอนอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมง ช่วงตอน 4 ทุ่มถึงตี 2 เป็นเวลาที่ดีที่สุด ร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินออกมา เพื่อบังคับให้เราง่วงนอน เมื่อเราหลับ ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกาย เราจะพักอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ดีที่สุด และงดอาหารหนักหลัง 6 โมงเย็น

5. ต้องจินตนาการในเชิงบวก และบริหารจิตใจ ฝึกสมาธิ คิดดี พูดดี ทำดี ร่างกายก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย

ลองทำดูนะ เพราะพวกเรามาอยู่ในประเทศที่เจริญ ทำอะไรก็จะรีบ ๆ เร่ง ๆ เร็ว ๆ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง เน้นอาหารจานด่วน จานใหญ่ กินเร็ว โรคของประเทศเจริญก็ตามมา ให้กลับไปทำทุกอย่างแบบธรรมชาติดั้งเดิมดีที่สุด ร่างกายจะดี มีสุข ไม่ใช่ทำแต่งาน จนเจ็บป่วย สุดท้ายหาเงินมาเพื่อให้คนอื่นใช้แทน คุณหมอปิดท้ายว่า ทานพืชผักผลไม้นั้น ใช้เวลาย่อย 4 ชั่วโมง เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ใช้เวลาย่อย 3 วัน ทำให้ตกค้างอยู่ในร่างกายและเน่าเสียนะครับ

และเนื่องในวันตรุษจีน ขออวยพรให้ทุกคนร่ำรวย ๆ สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดสมปรารถนานะครับ "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้"

โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย