Special Scoop
นักการเมืองกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 6 พ.ย. 55 สำคัญไฉน?

หวังว่าท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านที่มีสิทธิ์ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คงจะได้รับทั้งจดหมาย โทรศัพท์ อีเมล์กันแทบจะทุกชั่วโมง จากนักการเมืองต่าง ๆ ที่จะเข้ามารับตำแหน่งใหม่ หรือจะยึดเกาะติดกับตำแหน่งเดิมของเขา (ที่ยังไม่หมดอายุส่วนใหญ่เขาให้ 2 เทอม เทอมละ 4 ปี) พวกเขาจะพยายามคุยอวดความดี และเอาความบกพร่องของคู่ต่อสู้มาโฆษณาให้ประชาชนได้ทราบกัน จะจริงบ้างหรือเล่าเกินกว่าเหตุ หรือหยิบยกคำพูดที่ผู้สมัครเคยไปพูดที่ไหนไว้เอามาตัดต่อ สาดโคลนใส่กันอย่างดุเดือด มีวิชา (มาร) อะไรก็ออกมาใช้ให้หมด มีเงินในหน้าตักเท่าไรก็ออกมาซื้อเวลา ซื้อหน้ากระดาษตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อขอให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนที่อยู่ในเขตเขา ใครชอบใครก็อย่าลืมไปใช้สิทธิในฐานะพลเมืองอเมริกานะครับ กว่าเราจะได้ใบสัญชาติมาก็ยาก ได้มาแล้วต้องใช้ให้คุ้ม เพราะคนอยากจะไปลงคะแนนเสียงมีมากแต่เขาไม่มีสิทธิ์ แค่มีใบเขียวก็ยังไม่ได้สิทธิ์นี้ ก็ขอให้พิจารณาคนสมัครของท่านให้ดี วิเคราะห์ดูประวัติการทำงานให้ยาวนาน อย่าหลงกับการโฆษณาชวนเชื่อแบบที่จะมาให้เราลงคะแนนให้ก็มาเคาะประตูบ้านเรา มาขอเงิน มาถ่ายรูปกับพวกเรา พอได้เป็นใหญ่แล้วก็ไม่รู้จักเรา สัญญาทื่เคยให้ไว้ก็ลีมไปกับสายลม อย่าไปเลือกคนประเภทนี้ดดยเด็ดขาด

วันนี้ขอแปลบทความของคุณมิเชล ปาร์ค สตีล รองประธานคณะกรรมาธิการด้านภาษีของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ Orange County Register ฉบับวันที่ 25 กันยายน ถึงบทบัญญัติ Proposition 30 ซึ่งจะมีผลกระทบกับเราทุกคนถ้าผ่านความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่จากประชาชนในรัฐแคลิฟอร์เนียในวันที่ 6 พ.ย. 55 ที่จะถึงนี้

ท่านไม่สนับสนุน และชวนให้พวกเราลงคะแนน “No” สำหรับบทบัญญัติกฎหมายนี้ ด้วยเหตุผลดังนี้ ท่านบอกว่า Prop 30 จะทำให้การดำรงชีพของเราลำบากขึ้น และก็ไม่มีการประกันใด ๆ เลยว่า เงินที่ได้จากการขึ้นภาษีหลายชนิดจะนำไปสมทบกับงบประมาณการศึกษาของรัฐแคลิฟอร์เนีย การขึ้นภาษีถึง $6.6 Billion (6.6 พันล้านเหรียญ) ไม่เพียงจะไม่ช่วยงบการศึกษา หรือ ทำให้งบประมาณขาดดุลของรัฐได้ดีขึ้น แต่กลับ จะทำให้เศรษฐกิจการทำธุรกิจซบเซาขึ้น ในขณะทื่บทบัญญัติกฎหมายนี้จะเรียกเก็บภาษีเงินได้เพิ่มจากคนที่มีรายได้ตั้งแต่ $250,000 ขึ้นไปติดต่อกันถึง 7 ปี จะขึ้นตั้งแต่หนึ่งถึงสามเปอร์เซนต์ต่อปี แล้วยังจะให้ขึ้นภาษี Sales Tax ซึ่งตอนนี้ก็สูงสุดของประเทศนี้อยู่แล้ว เช่นในเขต แอลเอ 8.75% ของราคาสินค้า จะขอคิดอีก .25% เป็น 9% เป็นเวลา 4 ปี ในขณะที่ธุรกิจก็บ่นว่าเศรษฐกิจหดหู่ในขณะนี้ จะมาขึ้นภาษีอีก แล้วลูกค้าก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น การค้าก็จะลดลงแน่นอน แต่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย นาย Jerry Brown กลับให้การสนับสนุนบทบัญญัติกฎหมายนี้อย่างสุดๆ โดยให้เหตุผลว่าคนรวยควรจะมาช่วยจ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล และงบการศึกษา แต่จากสถิติจากฐานข้อมูลของกรมสรรพากรของรัฐ (Franchise Tax Board, FTB) ระบุว่าในปี 2007-2009 คนที่มีฐานะดีที่จัดอยู่ในผู้เสียภาษีอันดับหนึ่ง จ่ายภาษีเงินได้ให้กับงบประมาณของรัฐเพียง 35% ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้เสียภาษีอันดับหนึ่งนี้จ่ายภาษีเข้ารัฐถึง 50% ในปี 2007 และในขณะนี้เสียอยู่ที่ 40% ของงบประมาณของรัฐ เนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจ และหุ้นสต๊อกในตลาดการลงทุนผันผวน อย่าลืมว่า ผู้เสียภาษีอันดับหนึ่งได้เงินมาจากการลงทุน จะจ่ายภาษีมากกว่าคนทำงานที่ได้ W2 หลายเท่า

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีรายได้น้อยในรัฐแคลิฟอร์เนียเสียภาษีเงินได้น้อยมาก หรือแทบจะไม่ต้องจ่ายด้วยซ้ำไป แต่ตามข้อมูลของ State Board คนมีรายได้น้อยต้องจ่าย Sales Tax 82% จากรายได้ของเขาเพื่อจับจ่ายใช้สอยสิ่งของต่าง ๆ ที่ทางพ่อค้าเก็บจากพวกเขา การขึ้นภาษีแบบนี้จะมีผลกระทบกับทุกคน จะทำให้เศรษฐกิจของธุรกิจหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่เศรษฐกิจก็ขึ้นอยู่กับคนที่ทำธุรกิจมีการจ้างคนงาน และก็มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อของ หรือบริการจากเหล่าพ่อค้า และถ้าผู้บริโภคเหล่านี้มีเงินในกระเป๋าน้อยเพราะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม การจับจ่ายใช้สอยก็จะลดลงเพราะของแพงขึ้น เศรษฐกิจก็กระทบกันไปหมด

ผู้สนับสนุนบทบัญญัติกฎหมายนี้ ก็ใช้เหตุผลว่าถ้าเงินภาษีที่เพิ่มมานี้จะช่วยให้งบการศึกษาเพิ่มขึ้น นักเรียนจะมีห้องเรียนมากขึ้น เพิ่มโปรแกรมการศึกษามากขึ้น เช่น การเรียนศิลปะ (Arts) พลศึกษา (PE) แต่สมาคมเพื่อการศึกษาของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Schools Boards Association) บอกว่าเงินที่จะได้มาจากการขึ้นภาษีนี้ จะไม่ช่วยให้งบประมาณการศึกษาเพิ่มขึ้นเลย เงินภาษีทื่เพิ่มจะเข้าไปสู่งบประมาณกลางของรัฐ (General Fund) ซึ่งตามธรรมนูญของรัฐ มันมีกฎหมายระบุว่าส่วนไหนจะต้องไปสู่งบการศึกษาอยู่ ไม่ได้แปลว่าจะลดขนาดของชั้นเรียน หรือเพิ่มโปรแกรมที่ถูกตัดไป และจะเพิ่มสวัสดิการให้นักเรียนได้ แต่พวกสนับสนุนก็จะย้ำจุดขายนี้ ซึ่งมันไม่เป็นความจริง

สรุป คุณมิเชล เน้นว่า การขึ้นภาษีในรูปแบบนี้ จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมหดหู่ลงไปอีกแน่นอน ทำให้คนตกงานมากขึ้น รัฐอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง จะช่วยให้รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณได้มากขึ้นโดยไม่มีผลต่อคุณภาพการเรียนของนักเรียน แล้วคงจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยรัฐแคลิฟอร์เนียเหมือนเดิม จึงทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียตกอยู่ในสภาพขาดงบดุลมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น มาช่วยกันหยุดกฎหมายบัญญัตินี้ โดยลงคะแนน “NO” on Prop.30


โชคดีครับ
คิด ฉัตรประภาชัย