Special Scoop
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อีกความหวังหนึ่งของคนไทยในอนาคต

27 มีนาคม 2557 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ตลก.) ได้มีคำวินิจฉัยว่า “การเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” ก่อเสียงวิพากย์วิจารณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะมีขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าหากมี จะมีขึ้นเมื่อใด....

แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็พร้อมที่จะนำพรรค “ภูมิใจไทย” ลงสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อเสนอ 4 นโยบายหลักของพรรคให้ประชาชนเลือกให้เข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

ความมุ่งมั่นและความพร้อมในการลงสู่สนามการเลือกตั้งครั้งใหม่ สะท้อนออกมาจากคำสัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค “ภูมิใจไทย” ที่ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ. ไทยแอล.เอ. เมื่อวันเสาร์ที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างการนำครอบครัวมาพักผ่อนในสหรัฐอเมริกา เพื่อเยือนแอล.เอ. วอชิงตัน และซานฟรานซิสโก หลังจาก 10 ปีที่ไม่เคยกลับมา

เชิญสัมผัสสาระในคำสัมภาษณ์ ของ อนุทิน ชาญวีระกูล ได้ในบรรทัดต่อไป....

ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ท่านมองความวุ่นวายในบ้านเรา และจะหาทางออกไหนดีที่สุดค่ะ ?

ต้องถือว่าจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างความมีความคิดเห็นทางด้านการเมือง และแตกต่างกันด้านอุดมการณ์ ผมเห็นว่าในการแก้ปัญหา นอกจากที่ว่าจะต้องมีการต่อสู้ ประหารกันเสียเลือดเสียเนื้อ คงไม่ใช่ทางเลือกของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ดีที่สุดเวลานี้ก็คือ ยอมให้มีการเลือกตั้ง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่า เขาจะเอาใครมาทำการบริหารประเทศต่อไป

ท่านคิดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ไหม ?

การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้แน่นอนครับ ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่เป็นระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ สิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีนั้นก็คือ การคืนอำนาจให้กับประชาชน ผมในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ก็เห็นมาด้วยตลอดหากประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยปกครองเทศแล้ว มันไม่สามารถที่จะมีทางเลือกอื่นๆ ได้ การฉีกรัฐธรรมนูญ การปฏิวัติรัฐประหาร เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ปัจจุบันนี้สภาพบ้านเมือง และสถานการณ์มันยืดเยื้อมาจนไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ก็จะมีฝ่ายต่อต้านอยู่เสมอ อาวุธที่ฝ่ายบ้านเมืองมีอยู่ไม่ว่าจะเป็น ทหาร หรือตำรวจ ไม่สามารถที่จะมาทำร้ายประชาชน คนในประเทศได้

โลกของเราวันนี้มันเดินหน้ามาจนถึงจุดที่เราไม่สามารถใช้ระบบเถื่อนที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญมาแก้ไขปัญหาได้ สิ่งเดียวที่เราต้องยอมรับก็คือ เมื่อประชาชนได้อำนาจคืนกลับมาแล้ว และมีการใช้อำนาจนั้นโดยผ่านการเลือกตั้ง ประเทศที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยก็ต้องยอมรับผลนั้น อันนี้เป็นผลทั่วไป ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อผลออกมาแล้วแม้คะแนนห่างกันเพียงหลักพันเค้าก็ต้องยอมรับ เค้าไม่คัดค้านผลนั้น หรือให้เลือกตั้งใหม่ เมื่อประชาชนไปใช้สิทธิของเค้าแล้ว

แต่ว่าประเทศที่เจริญแล้วผู้แพ้ก็จะยอมรับ และโทรไปแสดงความยินดีกับผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง ไม่ใช่แสดงความยินดีอย่างเดียว ยังสนับสนุนผู้ชนะดำเนินการบริหารบ้านเมืองต่อไป ตรงกันข้ามกับประเทศของเราอย่างชัดเจน

แสดงว่าท่านเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยใช่ไหมค่ะ ?

ครับ มันต้องเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะบ้านเราเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องเลือกตั้งก็ไม่ต้องเลือก พอเลือกเมื่อไหร่ก็ไม่ถูกใจ พรรคการเมืองใหญ่ไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง มันเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ สุดท้ายก็เห็นผลของมันอยู่แล้วว่ามันดีขึ้นไหม บ้านเมืองเรายังถลำลึกลงไปมากกว่าเดิมเสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือ วันนี้ถ้ามีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมหวังว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ หากทุกฝ่ายให้การร่วมมือก็ไม่มีใครสามารถจะออกมาบอกว่า กลัวรัฐบาลจะใช้ความได้เปรียบในการทำการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม

ผมคิดว่า คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วครับ คงไม่มีใครให้ความร่วมมือ และคงไม่มีใครกล้าทำ ผมเป็นพรรคขนาดกลาง จริงๆ แล้วผมควรจะชอบด้วยซ้ำถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง มันทำให้โอกาสการขยายพื้นที่ของพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทำได้มากกว่าเดิม แต่เราก็มีความเชื่อมั่นว่า มันก็คงไม่เกิดความสงบเรียบร้อย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ หากทุกพรรคส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของพรรค ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยก็เชื่อได้ว่าปัญหาต่างๆ ของประเทศจะคลี่คลายไปในทางที่ดียิ่งขึ้น

ในช่วงเลือกตั้งเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมานี้ มีใครมาชวนให้ไม่ส่งคนลงสมัครเลือกตั้งบ้างไหม ?

ไม่มีหรอกครับ เพราะพรรคผมได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนแล้วว่า เรามีความเชื่อมั่นว่าบ้านเมืองจะคลี่คลายได้จะต้องมีการเลือกตั้งเท่านั้น ผมพร้อมเสมอที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม

ผลการเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้มีผลเป็นอย่างไร ?

พรรคภูมิใจไทยค่อนข้างที่จะพอใจในคะแนนที่เราได้รับมา เห็นได้ชัดว่าเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากขึ้น

เป็นเพราะอะไร หรือว่าเป็นเพราะพรรคใหญ่ไม่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ?

ไม่ใช่ว่าพรรคใหญ่ไม่ลงสมัคร แต่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอนโยบายหลักๆ ของพรรค มี 4 นโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ค่อนข้างจะเป็นเพียงพรรคเดียวที่ผลักดันนโยบายมากกว่าจะขายบุคคล ขายความนิยมส่วนบุคคลของพรรค ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่า เมื่อเราได้มีโอกาสบริหารบ้านเมืองแล้วทำให้เกิดความสุข ความสงบ และความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน

นโยบายหลักๆ 4 อย่างที่เสนอไป เมื่อคราวที่แล้วมีอะไรบ้างค่ะ ?

1. เรื่องของการยกเลิกหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ทุกวันนี้เด็กนักเรียนนักศึกษาที่จบปริญญาตรี ส่วนใหญ่จะต้องไปกู้ยืมกองทุนจากรัฐบาล แล้วก็มีการค้ำประกันโดยบิดา-มารดา หรือญาติ แต่เมื่อจบแล้ว ด้วยสถานการณ์บ้างเมืองแบบนี้ เขาไม่สามารถชำระหนี้ได้ ออกจากโรงเรียนมาก็จะมีสภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว และก็มีความจำเป็นจากภาครัฐ กฎระเบียบต่างๆ จะต้องดำเนินการฟ้องร้องเพื่อเรียกชำระหนี้ ผู้ฟังทั้งหลายก็คงต้องนึกสภาพว่าลูกหลานของเราจบการศึกษา ปริญญาตรียังไม่ทันจะเริ่มชีวิตเลยมีคนกว่าหลายแสนคนต้องติดหนี้ เราใช้ความคิดทางภาคธุรกิจมาประกอบด้วยนะครับ

คนเหล่านี้ไม่มีทางใช้หนี้สินคืนได้หรอกครับ ด้วยดอกเบี้ยและสภาวะหนี้สินที่เขามีอยู่ เมื่อเทียบกับจำนวนรายได้ที่เขาได้รับกลับเข้ามา เราก็มีนโยบายจะยกหนี้ให้กับเขาเลย แต่การยกหนี้ให้กับเขาแล้วเนี่ย เมื่อไม่มีภาระแล้วเขาจะต้องไปทำงานเอาเอกสารรับรองจากบริษัทที่จ้างงานมาแสดง แล้วเราจึงจะยกหนี้ให้ คือเมื่อตอนเขาเป็นหนี้เขาถูกฟ้องและต้องหลบซ่อนทำงานไม่ได้ พอทำงานปุ๊บก็จะถูกตามทวงหนี้ เมื่อมีรายได้เกิดขึ้น มีการเสียภาษีเกิดขึ้น เขาจะถูกเจ้าหน้าที่มาทวง เขาก็ต้องหลบไปทำงานที่ไม่มี Pay Roll มันก็เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเขาได้ทำงานอย่างถูกต้องและได้รับการยกเลิกหนี้ก้อนนี้ รัฐบาลก็ยังได้รับรายได้จากหักภาษี เราถึงได้เห็นคนจบปริญญาตรีทุกวันนี้ไม่มีทางเลือก ต้องไปเต้นโคโยตี้ ต้องไปเชียร์ขายเบียร์ คนเหล่านี้ชอบทำงานอย่างนี้เหรอ เค้าไม่อยากทำหรอก เค้าไม่มีทางเลือกนะครับ แทนที่จะทำงานนอกระบบจึงต้องดึงเข้าสู่ระบบ

อันนี้คือการยกหนี้หรือเปล่าค่ะ ?

ถ้าในศัพท์ทางธุรกิจเค้าบอกว่าไม่ใช่การยกหนี้ แต่เป็นการอะลุ่มอล่วยให้เขาได้ผ่อนชำระหนี้ ถ้าเขาไม่ต้องหลบซ่อน เขาสามารถทำงานได้ มีการจ้างงานที่ถูกต้อง เขาเสียภาษีเฉลี่ยแล้วคนหนึ่งมีหนี้ประมาณ 1 แสนบาท ถ้าเขาทำงานได้เดือนละ 15,000 บาท เสียภาษี 10 % ก็เดือนละ 1,500 บาท ปีละ 18,000 บาท ก็ประมาณ 5-6 ปีรัฐบาลก็ได้หนี้คืน เขาก็ยังทำงานต่อไปได้อีก ถ้ากลัวเรื่องดอกเบี้ยขอให้มาคืน เขาก็จะสามารถทำงานต่อไปได้เรื่อยๆ แล้วถือว่าทุกคนต้องทำงานเพื่อเสียภาษีผ่อนชำระหนี้ให้รัฐบาล เป็นรัฐสวัสดิการณ์

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวคือ เรื่องการยกหนี้ ทุกคนเมื่อจบการศึกษาและไปทำงาน นำใบรับรองการทำงานไปแสดงให้กับรัฐเพื่อเป็นการปลดหนี้ จากนี้ไปในทุนอื่นๆ รัฐก็จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนการศึกษา เหมือนกับที่เราสนับสนุน 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนที่เหลือก็ไปเก็บกับภาครัฐ

2. นโยบายการประกันราคาพืชผลและงานการเกษตร อันนี้ก็ชัดเจนแล้วนะครับว่านโยบายจำนำพืชผลทางการเกษตร ต่อให้ทำโดยไม่ผลประโยชน์แอบแฝง ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้น เพราะว่าการจำนำคือ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนาจะต้องเสียเปรียบนายทุนอยู่เสมอ

นโยบายของพรรคภูมิใจไทยคือประกันราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ผลไม้หลักแทบทุกชนิด เราจะกำหนดราคากลางขึ้นมา ถือว่าเป็นราคาที่รัฐรับประกัน

คล้ายกับการประกันราคาข้าวไหมค่ะ ?

เรามีการกำหนดราคากลางขึ้น ในสินค้าเกษตรหลัก โดยมีการคำนวณต้นทุน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเกษตรกรจะสามารถอยู่ได้

ทั้ง 4 นโยบายของพรรคจะสัมพันธ์กันนะครับ เราก็มีนโยบายสนับสนุนให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ สำหรับพี่น้องคนไทยที่อยู่ในแอล.เอ. อาจจะได้ยินคนที่อยู่เมืองไทยบ่นให้ฟังว่า จะประกอบอาชีพอะไรยากมาก ผิดกฎผิดระเบียบอะไรมากมายไปหมดไม่ว่าเรื่องขอใบอนุญาตทำการค้า ใบอนุญาตประกอบกิจการ การก่อสร้างโรงงานต่างๆ เหล่านี้เราจะใช้นโยบายของเรานี้ก่อให้เกิดความสะดวกสบาย อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนทุกคน ให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจที่เขาจะทำ ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ไม่ใช่ไปผลิตยาเสพติด หรือของมีพิษอะไรต่างๆ ถ้าเป็นเรื่องของการประกอบธุรกิจที่สุจริตเราก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อในการดำเนินการเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วทำให้การจ้างงานเพิ่มมากขึ้น

เมื่อครั้งไปเยี่ยมชม Where house LAX-C Supermarket ของคุณเอนก พลอยแสงงาม ผมถามว่าทำไมไม่สร้าง Where house ขนาดใหญ่แบบนี้ที่เมืองไทยบ้าง เพราะถูกรสนิยมของคนไทย คุณอเนก อธิยายให้ฟังว่า เนื่องจากกฎหมายพังเมืองของประเทศไทย ที่จำกัดพื้นที่การทำงานไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นพื้นที่ 2 ชั้น พื้นที่การใช้สอยทั้งสองชั้นก็ต้องรวมได้ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร ทำให้เกิดปัญหาอย่างมากในการทำธุรกิจ อ้างว่าจะเป็นการบดบังทัศนียภาพ ผมจะกลับไปศึกษาอีกครั้งว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่หากทำได้จะเกิดการว่าจ้างอย่างมหาศาล เพราะมีการสนับสนุนจากการผลิตสินค้าของไทย ผมอยากจะใช้ภาษาในเรื่องนี้เป็นความกระจอกในระบบราชการไทย เรากระจอกแบบนี้ถึงไม่ทันเขา ไม่สามารถแข่งขันอะไรได้เลยในตลาดโลก เพราะมีระบบราชการแบบนี้ ทุกอย่างต้องติดกับกฎระเบียบโบราณคร่ำครึไม่ทันสมัย แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาวิธีแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยจะนำไปแก้ไข ผู้ประกอบการควรจะมีความสะดวกจากการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อที่จะได้กำไรได้มากๆ สุดท้ายรัฐก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดี รัฐก็ได้เงินปันผลทันทีเหมือนกัน

ปัจจุบันนี้เรามีการเก็บภาษี VAT 7% และเมื่อหมดปีนี้ไม่มีการแก้ไข ภาษี VAT จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 % รัฐก็จะได้รับภาษีมากขึ้น กิจการนั้นหากมีกำไรรัฐก็จะได้ทันที 30 % ในรูปของภาษีนิติบุคคล รัฐมีแต่ได้

แต่เมื่อเราได้มาแล้วในโลกการค้าของทุกวันนี้เราไม่สามารถที่จะเป็นผู้ได้เพียงอย่างเดียว เมื่อได้จากผู้ประกอบการมาในรูปแบบของภาษี เราก็ต้องมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้เขาได้สามารถขยายกิจการเขาได้ให้ใหญ่โตขึ้น การจ้างงานเพิ่มมากขึ้นมันก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายแรกของพรรค “ภูมิใจไทย” ที่ว่าต่อไปนี้นักศึกษาจะมีเงินทุนสนับสนุนให้เรียนเข้าศึกษาจนจบขั้นปริญญาตรีฟรีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชนที่จะมีเงินก้อนหนึ่งที่เป็นทุนการศึกษาให้ แล้วเมื่อเขาจบการศึกษา ถ้าเราสามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการประกอบกิจการได้ ก็จะมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น มากเพียงพอที่จะทำให้นักศึกษาไม่ต้องตกงาน ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนแอบไปทำงานหลีกเลี่ยงภาษี

นโยบายสุดท้าย คือนโยบายที่ 4 คือนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุของประเทศไทย เมื่อมีอายุหลังครบเกษียณ 60 ปี ขึ้นไปถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการบำนาญที่ภาครัฐสนับสนุนจากการเป็นข้าราชการมา บุคคลที่ไม่มีสวัสดิการอื่นของรัฐมาดูแล เขาก็จะให้เป็นเบี้ยผู้สูงอายุในการยังชีพคนละ 3,000 ต่อเดือนจนสิ้นอายุขัย

3,000 บาทมากจากไหน ทำไมไม่ 1,000 หรือไม่ 10,000 บาท 1,000 บาทเค้าอยู่ไม่ได้ จะเหลือเงิน 30 กว่าบาท แต่ 3,000 เค้าอยู่ได้ แต่ถ้า 10,000 บาทรัฐไม่มีปัญญาที่จะหามาให้ ได้ศึกษามาแล้วว่าคนทั่วไปเมื่อพ้นวัยเกษียณก็สามารถทำงาน ทำมาหากินอะไรได้ อย่างน้อยก็ยังมีเบี้ยผู้สูงอายุมาแบ่งเบาภาระ ไม่ใช่แต่แค่ตัวเองเท่านั้นยังแบ่งเบาภาระให้ลูกหลานอีกด้วย ลองนึกสภาพว่าคนที่ผมพูดต้องไปทำงาน หากไม่ต้องส่งเงินกลับบ้านถึงเดือนละ 3,000 บาท ถ้าเป็นคนที่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ก็จะเป็น 6,000 บาท ถ้ามีปู่ย่าด้วยก็เป็น 12,000 บาท ภาระของบุคคลที่อยู่ในวัยทำงานก็จะลดลง ถ้าให้แค่ 500 บาทอย่าให้ดีกว่า ให้ไปก็เป็นเหมือนทำไม่ได้คิดสักแต่ว่าให้ แต่ไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ไม่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ภาระของลูกหลานก็ไม่ได้ลดน้อยลง

สิ่งเหล่านี้พรรคภูมิใจไทย ของผมได้พยายามจะคิดให้เป็นเบื้องต้น ถ้าเรามีโอกาสได้มาบริหารราชการแผ่นดิน เราจะพยายามลดความแตกแยกของสังคม ลดความเดือดร้อนของประชาชน เรามีความเชื่อมั่นว่าคนในชาติโดยส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีการมีงานอย่างยั่งยืน มีคนดูแลบุพการีของตน ความเครียดของคนก็จะเย็นลง ก็คงจะไม่มีใครออกไปประท้วงหรือเดินขบวน โดยที่ยังไม่สามารถมองเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น เชื่ออย่างเดียวว่า เมื่อใดที่สภาพทางสังคมกลับสู่ภาวะปกติ สภาพเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น อัตราว่างงานน้อยลง ภาระของคนน้อยลง

ประเทศไทยเรามีพร้อมทุกอย่าง ที่มหาอำนาจมี ประเทศไทยเราพร้อมทุกอย่าง เราบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาก มีเทคโนโลยีทันสมัยเป็นฐานการผลิตทางอุตสาหกรรม เป็นฐานทางการผลิตทางการเกษตร โอกาสที่จะสร้างชาติของเราให้มั่นคงแข็งแกร่งมันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่สิ่งยากที่จะทำ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้คนในชาติทุกคนสำนึกว่ายามแตกแยกกันเช่นนี้ มันถึงจุดที่ต่ำสุดแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น หรือดำรงอยู่ในประเทศไทยอีกต่อไป ต้องสร้างชาติกันขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างต้องถือว่าเป็นโอกาสถ้าเราคิดว่าสภาพในปัจจุบันของบ้านเมืองถึงจุดที่ต่ำสุดแล้วก็แสดงว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรมากน้อยก็จะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นในบ้านเรา คนละไม้ละมือทำให้บ้านเมืองเราแข็งแกร่ง อย่าไปนิยมชมชอบกับความรุนแรง อย่าให้ไปการสนับสนุนสิ่งที่อยู่นอกกรอบกฎหมาย และนอกกรอบบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เชื่อในสิทธิของตนเองที่มีอยู่ก็คือ การเลือกคนที่ดี พรรคที่ดี เข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไป วิธีแก้ไขอยู่แค่ปลายจมูก เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นแล้วจะปฏิบัติโดยเร็วหรือไม่ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะปฏิบัติต่อไป

ในฐานะที่ท่านเป็นนักธุรกิจใหญ่ของประเทศไทยท่านหนี่ง ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของรถไฟความเร็วสูง

ต้องเรียนว่าถ้าบ้านเมืองอยู่ในสภาวะปกติเนี่ย ทุกอย่างก็อยู่ในระบบของมัน ผมว่ามันคนละหน้าที่ที่องค์กรที่ไม่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินมาเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ของรัฐได้ นี่คือสิ่งที่ถ้าเราไม่แก้ไขปัญหา อาจจะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองเราต้องแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด

ที่อเมริกาก็มีคนไทยมากมายอาศัยอยู่มีอะไรฝากถึงพี่น้องคนไทยในอเมริกาบ้างค่ะ ?

ต้องยอมรับนะครับว่าการมาเยือนอเมริกาของผมในครั้งนี้เนี่ย ได้มีโอกาสได้มาพบกับคนไทยที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ และได้มีโอกาสได้เห็นความขยันขันแข็ง เห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนเอง นี่แหละคนไทยไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่จะไปสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับถิ่นที่อยู่ของตนเอง ถึงเวลาคนละมือคนละไม้ ถึงแม้เราจะไม่ได้กลับไปอยู่ที่เมืองไทย ก็ให้ญาติพี่น้องของเราที่อยู่เมืองไทยช่วยกันจรรโลงบ้านเมืองให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ การขัดแย้งกันก็มีแต่สร้างปัญหา ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง สูญเสีย แผ่นดินลุกเป็นไฟ ถึงแม้เราจะอยู่ที่อเมริกากันก็ไม่อยากให้บ้านเกิดเมืองนอนของเราเป็นเช่นนั้น