ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ไปกรุงเทพฯ ตอนที่ 10

มาเมืองไทยทุกครั้ง ต้องมีเวลาไปวัดเสมอเพียงเดินเข้าประตู กำแพงล้อมรอบ ความสงบก็เกิดกับใจ พระผู้ใหญ่เคยอบรม มาวัดถ้าไม่มีปัจจัยมาถวายไม่สำคัญหรอก ขอให้มา บุญเกิดจากใจ วัดและพุทธศาสนาคือแหล่งของปัญญา เพียงมองทุกสิ่งตามสภาพความเป็นจริง ถ้ายึดถือควรยึดสิ่งที่ถูก พุทธศาสนาพื้นฐานความเจริญก้าวหน้าทางจิตวิทยา จิตวิทยาที่เราเล่าเรียนของทางตะวันตกมาจากพุทธศาสนาทั้งนั้น

โดยเฉพาะคนไทยปัจจุบัน ปัญหาชีวิตมากมาย ตื่นเช้ามืดออกจากบ้านไปทำงาน หาเงินแต่ก็แปลก ก่อนโน้นคนไทยแบกจ๊อบเดียวก็มีเงินพอใช้ ซ้ำเลิกงานกลับบ้านมืดค่ำไม่มีเวลาทำอาหาร อาหารซื้อติดมือตามริมถนน หลายคนบอกว่าอาหารที่ซื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่รู้ว่าฝุ่น สารพิษจากรถ แม้แต่ความไม่สะอาดตาบริเวณตั้งร้าน ท่อส่งกลิ่น กระดาษ สิ่งของถูกทิ้งบนถนน คนอาศัยมีชีวิตจากอาหารข้างถนนบอกว่าชีวิตก็ยังยืนยาว โรคภัยมีมาประปลาย เหตุผลเวลาผ่านไป โรคภัยก็มีบ้างละ

เคยฟังตัวอย่างและประสบการณ์ตรงของคนใกล้ตัว มีสตังค์จะไปหาหมอเข้าออกโรงพยาบาลได้ทุกโรง พอถึงวันหนึ่งโรคร้าย “มะเร็ง” เข้ามาสิงสู่ หมอบอกมะเร็งลามไปทั่ว มะเร็งตัวเล็กคลุกคลีกับทุกส่วนของชีวิต เลือด ลำไส้ ผนัง หมดหนทางแก้

ไปไหนๆ มีรถส่วนตัว กินอาหารทำในบ้าน โรคร้ายก็ยังคุกคาม เพียงแต่ชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ไม่ตรวจ ไม่เช็คร่างกาย ไม่ออกกำลัง โรคภัยไม่เกี่ยวกับจนหรือรวยถ้าไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพ

การไปวัดของกระผมอาจแตกต่างจากหลายท่าน ผมไม่สนใจเรื่องวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจหมอดู ไม่เกี่ยวกับโชคลาภหวยบนดินหรือใต้ดิน ยิ่งเรื่องสะเดาะเคราะห์เกี่ยวกับความรัก ห่างไกล เหมือนถนนผมยืนสุดทางของอีกด้านโอกาสบรรจบไม่สามารถบังเกิดได้ เพราะความรักของครอบครัว ย่อมเกิดจากตัวเรา หลายคนแม่บ้านบ่นหนักหน่อย เพียงฟัง หลบ เฉย ชีวิตก็อยู่จนวันสุดท้าย ถามว่าแล้วเจ้าความสงบสุขและความสุขล่ะ แน่นอนทุกข์เกิดจากใจทั้งนั้น หลายคนมีทุกข์จะด้วยสาเหตุถูกห้าม บ่น แม้แต่คนภายนอกนินทา ใช้หลักง่ายเขียนใส่กระดาษ ข้อสุดท้ายสารภาพกับใจ แต่เมื่อไปวัด จะขอความเมตตาจากพระย่อมมีแต่ความปลอดโล่ง ถ้าชีวิตกล้าระบายทุกข์

หลังอาหารมื้อเช้า สายหน่อยก็เดินออกปากซอย ไกลหน่อยที่จะถึงป้ายรถเมล์ เวลาสายรถโดยสารคนไม่ถึงกับเบียด โชคดีขึ้นรถเมล์ต้นทางไม่แน่น ดูผู้โดยสารครับรับรู้เจริญด้วยวัฒนธรรม ใครมาก่อนยืนข้างหน้ามาหลังต่อแถว ผมรับรู้คนไทยถ้าสถาบัน โรงเรียนเน้นคุณความดี คนไทยย่อมไม่ด้อยกว่าชาติเจริญทั้งหลาย เหมือนการศึกษา คนไทยยอมรับถ้าเรียนน้อยหรือไม่เรียน ชีวิตย่อมเดินย่ำต๊อกหางาน เผอิญได้เป็นของแน่เงินเดือนทำวันละ 8 ชั่วโมง ส่วนมากจะเกิน คงประมาณ 300 บาทต่อวัน เผอิญเรียนหนังสือจบมหาวิทยาลัยครับเริ่ม 15,000 บาท ถ้าไม่พอค่าเช่า ผ่อนส่งสารพัดสิ่ง ถ้ากู้เงินดอกเบี้ยคนมีรายได้น้อย หลักทรัพย์หาไม่เจอ แน่ละย่อมถูกขูดดอกเบี้ย คนไทยมีความเข้าใจว่าถึงจะถูกรีดไถดอกเบี้ย ก็ต้องเป็นฝ่ายจำยอมเพราะชีวิตอยากมีหลายสิ่งหลายอย่างตามสังคมมี โลกปัจจุบันยิ้มเยอะก็ติดวัตถุนี่

อดนึกตอนจบปริญญาตรี 50 กว่าปีมาแล้วเงินเดือนเริ่ม 900 บาท อยู่บ้านพักครู อยู่ฟรีกินอาหารโรงอาหาร ชีวิตไม่เคยมีปัจจัยหรู ไม่มีนาฬิกา ปากกาจำเป็นเต็มที่ได้ยี่ห้อถูกๆ ปลายเดือนหมดแล้ว ต้องยืมกระทรวงเรียก ฉ.ฉ. (ฉุกเฉิน) ทุกเดือน ถูไถจนจบเดือน พอรับเงินเดือน เงิน ฉ.ฉ. ถูกหัก ยิ่งโรงเรียนมีคนตาย บวช แต่งงาน บ่อยครั้งผู้ปกครองเชิญ ครับเงินต้องใส่ซอง ชีวิตเรียนรู้เรื่องประหยัด

รถรถเมล์ไม่นานมาก เลือกรถปิดป้ายข้างรถและบนหน้ารถ รถฟรีจากภาษีประชาชน ครับเมืองไทยมากสิ่งอย่างดูหนัง นั่งรถไฟฟ้า อายุเกษียณสามารถซื้อราคาถูกได้ แต่ต้องซื้อเป็นร้อย ผมคิดว่าเมืองไทยศูนย์ผู้สูงอายุที่มีอาหารกลางวัน 2.50 เหรียญ ดูหนัง 1 เหรียญ กาแฟเสียสลึงกินได้ตามสบาย มีเค้ก โดนัท ให้กินฟรี ทุกอาทิตย์มีขนมปังแจกมีในอเมริกา แต่เมืองไทยเคยถาม คนตอบส่ายหน้า

บ้านเรามากวัดมีคนมาทำบุญ อาหารหลังจากพระฉันเหลือ ผมอดคิดถ้าแจกจ่ายคนยากจนน่าจะดี แต่เผอิญวัดทุกวัดมีคนมาปล่อยหมา แมว อาหารเหลือน่าจะตกถึงท้องสัตว์ ทำไมคนไทยนิยมปล่อยสัตว์ที่ตัวเองเคยรักใคร่เลี้ยงดูชอบพอ พอหมดความเสน่หา ก็หาทางเอาไปปล่อยที่วัด เพิ่มภาระให้พระเณร และเด็กวัด การปล่อยสัตว์ออกจากภาระรับผิดชอบ น่าจะมีกรรม 2 ชั้น ชั้นแรกหมดรัก ชั้นที่ 2 เพิ่มภาระให้คนอื่น โยม มันเป็นบาปกรรมนะ

วันนี้เจตนาอยากไปวัด ชีวิตผมถือว่าเกิดมาคลุกคลีกับวัดแต่เล็ก แม้ปัจจุบันก็ยังชอบไปวัด จะไปรัฐไหนในอเมริกาก็หาโอกาสไปวัด เข้าโบสถ์ ทำบุญตามความศรัทธา ตอนเด็กเกิดอยุธยา ครับแม่พาไปวัดทุกวันพระ ไปโรงเรียนวัด โรงเรียนเลิกแวะวัดหรือเดินผ่าน วัดมีต้นมะม่วงเยอะ เวลาลมฝนมาจะมาแย่งมะม่วง พอโตเข้ามัธยมมาอยู่กรุงเทพฯ อาศัยกุฏิสมเด็จสังฆราช ทานอาหารวัด

รถเมล์ผ่านวัดมากมาย อย่างวัดหัวลำโพงจะเห็นปล่อยเมรุเผาศพสูง โบสถ์ของวัดในกรุงเทพฯ สวยงาม วัดที่เผาศพจะยุ่งตลอด คนกรุงเทพฯ เกือบ 10 ล้าน ย่อมตายทุกวัน ส่วนมากตายตามวัย มากคนถูกตายโดยทำร้าย ไม่รู้เมืองไทยเป็นโรคอย่างมะเร็ง เจ็บปวด หมอบอกว่าให้เวลาอีกไม่เกิน 6 เดือน ต้องฉีดมอฟีนทุกวัน หลายคนบอกหมอผมคุยกับญาติ อยากตายช่วยปลงชีวิตได้ไหม จะฉีดยาหรือกินผมไม่รังเกียจ และเพื่อนบ้านอย่างออสเตรเลียมีให้เลือก อเมริกาอย่างรัฐออริกอนและมากประเทศในยุโรป หมอยิ้มครับเห็นใจแต่เมืองไทยกฎหมายไม่มี ขืนผมเห็นใจท่านช่วยปลงชีวิต ผมคงไม่แคล้วถูกลงโทษจำคุก ชีวิตผมย่อมหมดแสงสว่าง ไม่มีเสรีภาพ ครับรับรู้ผมเห็นใจ จะพยายามดูแลให้ยาแก้ปวด แต่ขอให้ผมช่วยให้ตายก่อนเวลา เสียใจนะขอรับ ให้กาลเวลา ธรรมชาติ กำหนดเวลาเอง

วัดที่อยู่ในใจหลายวัดที่ต้องไป วัดราชบพิธ วัดสระเกศ วัดบวร วัดเลียบ วัดสุวรรณ แต่วัดราชบพิธเคยเติบโต สังฆราชสั่งสอน ความรัก ศรัทธา คุ้นเคย ตกผลึกใต้จิตสำนึกเสมอ วัดราชบพิธเป็นวันธรรมยุต ด้านหลังกว้างเป็นสุสานเก็บบรรจุพระอัฐิของเจ้า สุสานสวยงาม คงไว้เป็นวัฒนธรรม หน้าวัดมีต้นมะขาม กำแพงสีขาว บนกำแพงก่อเป็นรูปเสมา หลังวัดติดกับคลองหลอด ต้นขนุนเป็นแถว ออกลูกโตโคนต้น คงเป็นธรรมชาติ ลูกขนุนใหญ่ มีน้ำหนักอยู่ต่ำสะดวกต่อการดูแลและเก็บ บริเวณวัดมีตึก โรงเรียนหลายตึก ปัจจุบันโรงเรียนย้ายไปอยู่ปากคลองตลาด บนที่รักษาดินแดนรอบๆ วัดไม่เปลี่ยนแปลง ต้นไม้ยืนต้นอย่างต้นปีบ ต้นแก้ว ลั่นทม จำปี

โบสถ์วัดสวยงาม ลวดลายประดับด้วยแก้วหลากสี แตกต่างในขนาดและรูปร่าง ถอดรองเท้า ก้มตัว คลานนั่ง พนมมือ ขอพร ครับพุทธองค์พระประธานพระพักตร์ทรงพระเมตตา ผมสบตาทรงยิ้มน้อยๆ ต้อนรับ ภาพทรงจำเก่าๆ ไม่เคยเลือน ทุกวันอาทิตย์เด็กวัดจะเข้าโบสถ์สวดมนต์ เป็นความจริงสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 อบรมสั่งสอน ผม ลูก รวมทั้งหลาน มีชีวิตดีๆ ของวันนี้เกิดจากท่าน พระองค์ท่านถ่ายทอดคุณความดีให้พระให้ศิษย์และญาติโยม ท่านยังอยู่กับพวกเราตลอดกาล