ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 19 พฤษภาคม 2561

ก่อนมานั่งเขียนหนังสือ วันนี้ออกเดินแถวบ้าน บ้านอยู่อาศัยคนไม่พลุกพล่าน จะมีเด็กเดินบ้างตอนไปโรงเรียน แถวที่อยู่เด็กเล็กที่ช่วยตัวเองเดินไปโรงเรียนที่ผมเห็นและรู้จัก 2-3 บล็อก มีเด็กไปโรงเรียนมีบ้านเดียว นอนนั้นส่วนมากคนสูงอายุ อยู่มานานยังมีลูกหลาน แต่โตจบมหาวิทยาลัย มีงานทำ ความรู้สึกถึงจะอยู่กับพ่อแม่ สารพัดสะดวกสบาย ไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ จะมีก็แค่อุปกรณ์เริ่มชีวิตอย่างเครดิตคาร์ด หลายวันมาอ่านเรื่องการปลูกฝังให้ลูกๆ รู้จักาการใช้เครดิตคาร์ด หลายบ้านลูกไปไฮสกูล ถ้าลูกทำงานเพียงอาทิตย์ละไม่มากมาย เพื่อรับผิดชอบตัวเอง แต่หลายคนยังไม่ทำงาน จะทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ทำงาน พ่อแม่บางคนจะพ่วงให้ลูก รู้จักใช้เครดิตคาร์ด เพื่อเรียนรู้ รู้จักควบคุมการใช้จ่าย อะไรควรไม่ควร เพราะเครดิตคาร์ดคือปัญหาของยุคที่ชอบวัตถุ เห็นอะไรชอบพอ อดใจไม่ได้ก็ซื้อ และมันเป็นความสะดวก คล่องตัว ที่เรียกว่าใช้ก่อนค่อยคิด

ครับชีวิตคนยุคปัจจุบัน จึงมีปัญหากับเครดิตคาร์ด ปั่นเงินไม่ทันใช้หนี้ และเครดิตคาร์ดดอกเบี้ยแพง

จากการสำรวจ คนโดยเฉลี่ยเป็นหนี้เครดิตคาร์ดประมาณ 5,000 เหรียญต่อคน ผมเคยใช้เครดิตคาร์ดเกินตัวเยอะ ถึงเวลาแต่ละเดือนวุ่นวาย ถ้ามีจ่ายจิตก็โล่ง ถ้าเผอิญเดือนผ่านมาใช้เงินเกินตัว และบิลล์มาพร้อมกัน กลุ้ม ทุกข์ พุทธศาสนาบอกว่า นรกและสวรรค์มีจริง คือความทุกข์กายและใจ ไม่ใช่สวรรค์คือเบื้องบน นรกคือทุกข์อยู่ลึกใต้ดิน ความทุกข์และสุขเปรียบคือสวรรค์และนรก เราเป็นคนสร้างขึ้นมา เกิดและเติบโตในความปัจจุบัน เราสัมผัสกับมันตลอดเวลา

เหตุผลที่พ่อแม่สั่งสอนเครดิตคาร์ด ความปรารถนาให้ลูกได้มีความคิดและสติในการใช้จ่ายเงิน ความดีอีกอย่างของเครดิตคาร์ดในสังคมของคนอเมริกัน การอยากได้วัตถุสามารถซื้อหา หยิบจับมาเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องมีเงินสดคือการสร้างเครดิต การมีเครดิตคาร์ด คือรู้จักใช้ รู้จักควบคุม ถึงเวลาบิลล์มาจ่ายตามเวลา สิ่งที่ได้คือสะสมสกอร์เครดิต แต่ก็อดคิดการสร้างสกอร์แบบนี้ เสี่ยงกับการเป็นหนี้สิน

โรคกลุ้ม นอนไม่หลับ ก่ายหน้าผาก โรคเครียด และอีกมากโรคทางใจ เรียกว่า สร้างขุมนรกไว้ในใจ ร้อนลน กลุ้ม คนใกล้เคียงได้รับส่วนแบ่งของทุกข์ มาจากหนี้เครดิสคาร์ด

สำหรับผม ตอนลูกโตอยู่ไฮสกูล ลูกๆไม่เคยมีคาร์ด และเขาก็ไม่สนใจ คงจะเป็นประเภทเดียวกับเมื่อหิวมีอาหารกิน อิ่มท้อง ความรู้สึกอยากได้อาหารก็หมดไป ถ้าอยากได้อะไรแม่อุ้มชู

เดินเข้าเซ็นทรัล คนยังเยอะ คนออเดินสวน เหตุผลอาจจะพักผ่อนกายใจหลังจากงาน หรือช่วงพัก ครับชีวิตคนกรุงเทพฯ ถึงเราจะไม่เคยสอนในบ้าน และที่โรงเรียน ให้พักผ่อนกายใจ เดินดูสิ่งของตามห้าง เพิ่มตัณหา ความอยากเป็นเจ้าของทุกอย่างคือเงิน คือหนี้สิน ลึกไปกว่านั้น คือการเป็นทาสของวัตถุ

เราสอนให้ใช้ชีวิตสัมผัสกับธรรมชาติ แต่บ้านเรา สภาพแวดล้อมที่ปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิด อย่างสวนสาธารณะ เก้าอี้นั่งริมคลอง หรือตามถนนมีต้นไม้ มีร่มเงา มีเก้าอี้ โต๊ะให้คนได้นั่งสงบ จะดื่มกาแฟ น้ำเปล่า หรือ อ่านหนังสือ คนบริหารประเทศไม่เคยมีจุดขายความงอกงามทางด้านนี้ ถึงคลองอย่างคลองหลอด คลองแสน

แสบ แม่น้ำเจ้าพระยามีเก้าอี้ให้นั่ง คงจะดีนะ

คงเหมือนช่วงนี้ คนคึกคักเรื่องกระตุ้นการเลือกตั้ง ความเชื่อหนึ่งเดียว คือความเป็นประชาธิปไตย อดวิจารย์ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งดี เราก็ต้องรู้จักพัฒนา เห็นบ่อย ถุงกระดาษ ถุงพลาสติกถูกทิ้งบนถนน รัฐบาลมากยุคมีโกงกิน ความไม่ยุติธรรม ถ้าเป็นกรณีระหว่างคนมีอำนาจ และคนด้อยวาสนา แตกต่าง สัญญาที่ให้จะพัฒนาไม่ทำ ประชาชนเลือกก็ทำลืม นี่หรือประชาธิปไตย

เดินผ่านร้านไอศกรีม อ่านราคาส่วนมากราคามีเกินค่าแรงงานขั้นต่ำของคนทำงาน 8 ชั่วโมง แบกหามสารพัด เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ครับช่วยไม่ได้ คนทุกคนแตกต่าง ความแตกต่างสามารถรวมตัวใช้ความสามารถแตกต่าง ใช้กายทำงานเงินย่อมต่ำหน่อย ถ้าใช้ความคิด ค่าจ้างก็ย่อมสูง จึงเป็นความจริง เมื่อยังเด็กเล็กก็ต้องเล่าเรียนไม่ตามใจตัวเอง

ถ้าจะใช้กายคือความรู้ความสามารถ เมื่อมัดรวมกัน สังคมย่อมเจริญก้าวหน้า สิ่งที่มัดรวมคือสังคมของคนที่แตกต่าง ช่วยกันคนละนิดไม่นานประเทศไทยเติบโตหลายด้าน แม้แต่ประชาชน ยิ่งความก้าวหน้ามาก คนต่างชาติ คือคนเพื่อนบ้าน อย่างพม่า ลาว เขมร เวียดนาม ก็มาเป็นส่วนสังคมของคนไทย ทำงาน หาเงิน เสียภาษี หลายคนผันตัวเป็นนายทุน สำหรับผม อนาคตสังคมของคนย่อมผสมปนเป คนเดินทางไปอยู่อาศัยในชาติอื่นตามที่เห็น เอาตัววัด อดทน ขยัน ทำงานสารพัดได้ จึงกล่าวได้ความเจริญที่สัมผัสคือความร่วมมือกันทุกฝ่าย

ผมกลับเมืองไทยงวดนี้ บ้านที่อาศัยเคยมีคนรับใช้ 2 คน เหตุผลที่ต้องมี 2 คน ถึงงานบ้านจะไม่มาก แต่จ้างคนเดียวย่อมเหงา ว้าเหว่ ขาดเพื่อนคุย อยู่ไม่นานก็ออก ถ้ามี 2 คน คนทำงานบ้านมีเพื่อน ไม่เหงา ก็อยู่นานหน่อย

2-3 ปี คนทำงานบ้านที่เป็นคนไทยหายาก จะได้ลาว เขมร หรือ พม่า แต่พอปีที่แล้วปลายปี ไม่มีคนทำงานบ้าน หลานบอกกับผม หาคนไม่ได้ ต้องดูแลตัวเอง ซักเสื้อผ้าก็ต้องใช้เครื่อง อาหารส่วนมากจะกินก่อนกลับบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ทุกคนมีตาราง ครับก็สบายไปอีกอย่าง เท่ากับแบ่งงานกันทำ

ชีวิตพวกเราอยู่ที่นี่ไม่เคยมีคนทำงานบ้าน คล่องตัว สะดวก และสำคัญ เงินที่หาได้ เพียงใช้แต่ละเดือนก็เกือบติดลบแล้ว คนไทยหลายครอบครัวจ้างคนทำความสะอาดเดือนละครั้ง

เดินเลยร้านไอศกรีม หยุดนั่งทบทวนความทรงจำ ครั้งสุดท้ายนั่งทานไอศกรีมกับลูกหลานเมื่อไหร่ ความรู้สึกยังชอบไอศกรีม ยิ่งปัจจุบันการพัฒนารสมีมากขึ้น หวาน มัน อร่อย แต่พอวัยนี้ โรคภัย ก็ต้องหยิกตัวเอง ถ้าอยากกินไอศกรีม พระท่านเทศน์โยมชนะใจตัวเอง

ผมเดินเข้าร้าน “ท็อปซี่” ขายของจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ผัก ผลไม้ เนื้อ ปลา หอย กระดาษใช้ในครัว ห้องน้ำ ร้านนี้ของจากต่างประเทศเยอะ อย่างปลาแซลม่อน หอยจากนิวซีแลนด์ เดินเลยไป แผนกของมึนเมา เบียร์มากยี่ห้อ เบียร์ไทยขวดใหญ่ราคาเท่ากับทำงานชั่วโมงเต็มของรายได้ขั้นต่ำ ผมหยิบเบียร์ขวดหนึ่งเดินผ่านชั้นไวน์ เห็นราคาโดยเฉลี่ยไวน์ธรรมดาในอเมริกาไวน์ราคาถูกประมาณ 2.99 เหรียญมีให้เลือก แต่ราคาถ้าวางบนชั้นของเมืองไทย ราคาจาก 2.99 เหรียญ กลายเป็น 800-1,200 อย่างต่ำ คือประมาณ 25 เหรียญ

อดคิดเราไม่เคยติดเหล้า เบียร์ ไวน์ ที่ดื่มคิดกับตัวพักผ่อนกายใจ เมื่อเห็นราคาอดพูดประชด ดื่มแล้วทุกข์เรื่องเงิน เมื่อรู้ยังทำตัวไร้ความคิด ความเจริญทางสติหมดกัน ที่รับรู้สูญเปล่า ไร้คุณค่าของชีวิต