ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 4 มิถุนายน 2565

อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม มีนัดไปงานวันเกิดของน้อง ครับวันเกิดของทุกคนย่อมเป็นวันสำคัญ วันนี้พามาบรรจบวันเกิด เวลาผ่านไปอีกปี เผอิญเราอายุเลยเกษียณ อดคิดว่าคงอีกไม่นนาน ชีวิตก็จะเดินไปตามวงของชีวิต เกิด แก่ เจ็บ และตาย ศาสนาพุทธสอนเสมอ สิ่งที่เป็นความจริง เราต้องระลึกอยู่เสมอจะได้กระทำสิ่งถูกต้อง ถ้ายังทำผิด ก็รับรู้ยอมรับ และกระทำสิ่งถูกต้อง เพราะเมื่อทำสิ่งที่เรียกว่า “คุณธรรม” คือความถูกต้องจะเป็นสมบัติไปกับจิตใจของเรา คือความสุข ความพอใจ

จุดหมายปลายทางของคนวันเกิด คือเมือง Wood Land จากบ้านผมขับขึ้นฟรีเวย์ สาย 80 ไปทางเหนือ ครับฟรีเวย์ 80 วิ่งจากตะวันออกสู่ตะวันตก ระยะทางต้องขับรถ ประมาณชั่วโมงเกินนิด Wood Land อยู่ติดกับมหาวิทยาลัย “ยูซีเดวิส” ครับมหาวิทยาลัย ที่นำหน้าด้วยยูซี คือมหาวิทยาลัยของรัฐแคลิฟอร์เนีย ติดกับบ้านผม ไม่ถึง 2 ไมล์ ครับช่วงผมมาอเมริกา ปี 1968 มีนักเรียนไทยมาเรียนยูซีเบิร์คเล่ย์เยอะ ครับตอนนี้ศิษย์เก่านักเรียนไทยจบทางกฎหมาย เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้นายมนตรีของไทย หลายคน คือ ด็อกเตอร์พิษณุ เครืองาม จบด้านกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)

พูดถึงมหาวิทยาลัย ลูกสาวและลูกชายจบ ยูซี คนละที่ ลูกสาวเลือกไปเรียนยูซีเดวิส เพราะปรารถนาจะเป็นหมอ เมื่อเจตนาจะเรียนหมอ ปริญญาตรีต้องเรียนวิทยาศาสตร์ ลูกสาวเลือก ยูซีเดวิส เพราะมีคณะเรียนหมอ วิชาวิทยาศาสตร์ เมื่อมีหมอน่าจะเรียนถูกทาง ลูกสาวเลือกเรียนและจบเมเย่อร์ Micro Biology

ครับช่วงชีวิตของเด็ก ลูก และหลาน พอเริ่มเรียนความงอกงามทางความคิดก็เริ่ม การไปเรียนมหาวิทยาลัยคือการออกจากบ้านไปอยู่หอ ล้อมรอบด้วยเพื่อนฝูง ทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกัน นอกจากจะหาความรู้ ยังปลูกความคิดเป็นอิสระ มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตัว ตามความถูกต้อง ถ้าจะพูดว่าตามขนมธรรมเนียมประเพณี น่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ศาสนาเน้นคำว่า “พุทธ” คือความฉลาด

เหมือนลูกชายพบจบไฮสกูล ก็คงจะเหมือนเด็กทุกคน หลังจากจบไฮสกูลครอบครัวและตัวเด็กเอง อยากเรียนมหาวิทยาลัย เป็นการปลูกฝัง พัฒนาความรู้ ความถูกต้อง เป็นส่วนของชีวิต ตอนลูกชายเข้ามหาวิทยาลัย หลายมหาวิทยาลัยรับ อย่างยูซีทางใต้ ยูซีแอลเอ ยูซีเออร์ไวน์ ลูกชายขอไปยูซีเออร์ไวน์ก่อน พอเข้าไปในมหาวิทยาลัย นักเรียนรุ่นพี่หญิงชาย เป็นเด็กผสมเชื้อชาติ แตกต่างขนมธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภาษาของครอบครัว อย่างลูกชาย ลูกสาว พูดภาษาไทยเก่ง นอกจากจะเรียนจากครอบครัว จุดสำคัญการเรียนภาษาไทยที่วัดไทย แถวบ้านมีวัดพุทธานุสรณ์ วัดมงคลรัตนาราม วัดซานบลูน่า ครับอีกหลายวัดนำครูที่จบการศึกษา มาสอนภาษาไทย ตอนลูกไปเรียนภาษาไทยไปเรียนที่วัดพุทธานุสรณ์ จากบ้านผมเกิน 30 ไมล์ แม่บ้านพาลูกออกจากบ้านแต่เช้าตักอาหารให้ลูกทานในรถ แม่ขับรถพาลูกไปตามถนนธรรมดา ใช้เวลาชั่วโมงขาดเกิน ครับพอถึงโรงเรียน แม่บ้านก็อยู่วัดจากเช้าจนลูกเรียนเสร็จแต่ละวัน มีเวลาช่วยวัดทำงาน

ครับพอถึงวันนี้ลูกเติบโตพูดภาษาไทยเก่ง ขอบคุณวัด สังคมคนไทยรอบตัว

วันนี้ตื่นก็ลงมือทำเมี่ยงคำ ครับเมี่ยงคำ เป็นความต้องการของเจ้าของวันเกิด ครับเมี่ยงคำการทานเหมือนสลัด ปกติในเมืองไทยเวลาทานเมี่ยงคำเราจะใช้ใบชะพลู แต่ในอเมริกา แม่บ้านใช้ใบคะน้าแทน อร่อย กรอบ ตัวก้านผักคะน้า แม่บ้านนำไปต้มน้ำให้สุกและยังกรอบ นำขึ้นจากน้ำร้อน ตัด คลุกด้วยน้ำมันหอย เป็นอาหารอร่อยอีกมื้อ

ครับเมี่ยงคำ ความรู้สึกของผมเวลาทาน พวกผู้หญิงชอบ หยิบใบคะน้าใส่เครื่อง มะพร้าวคั่ว ถั่วลิสง หอม ขิง กุ้งแห้ง ตักน้ำเมี่ยงคำ น้ำเมี่ยงคำเวลาผมทำจะนำน้ำใส่น้ำตาลเคี่ยว แล้วนำกะปิ มะพร้าว หมอ กุ้งแห้ง ใส่เตาอบ นำมาตำ แล้วใส่ในน้ำที่ต้มกับน้ำตาล เคี่ยวให้พอข้น ครับปรุงรสตามความถนัด จะเลือกหวานนำ ครับหวานนำเป็นเอกลักษณ์ของน้ำเมี่ยงคำ

การทานเมี่ยงคำ ผมสังเกต คุณแม่บ้านจะนั่งล้อมวง นอกจากจะทานแล้วยังสนทนา ครับเป็นธรรมชาติของแม่บ้าน การพูดคุย นอกจากเป็นเรื่องสนุกสนาน มีบ้างสนทนาเรื่องกิจการของสังคม ครับการเป็นผู้หญิง สมองด้านขวา สามารถสนทนา พูด โต้แย้ง หัวเราะ หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ การหัวเราะ ทำให้สารหลั่งความสุข ความสุขจะทำให้ชีวิตมีสุข ถ้าหัวเราะ นักจิตวิทยามีความเห็นพ้อง จะชายหรือหญิง ถ้ามีกิจกรรมพบปะ สนทนา คุย หรือจะเป็นศูนย์กลางพัฒนา สังคมรอบตัว ครับความสุขกาย สบายใจ ย่อมนอนอยู่กับชีวิต เขาบอกว่า คนได้หัวเราะ ยิ้ม อยู่ทุกวัน ชีวิตจะสุขกาย สบายใจ จะอายุยืนด้วยหรือเปล่าคงจะประกอบด้วยปัจจัย เป็นตัวตนของชีวิตคือ “ยีนส์”

ส่วนตัว ผมออกจากบ้านตั้งแต่จบ ป.4 ครับอาศัยวัดหลับนอน เรียนหนังสืออยู่วัดราชบพิธ อยู่กับสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 ท่านจะเรียกผมไปนั่งอบรม คือ สอน อาทิตย์ละอย่างน้อย 1 วัน พอจบ ม.6 สอบชิงทุนได้ เป็นรุ่น 2 ของกระทรวง ต้องไปเรียนครู อยู่หอ ครับชีวิตเริ่มต้องดูแลตัวเอง ทำอาหาร หุงข้าว ดูแลการใช้เงิน ขอบคุณโอกาส

การดูแลตัวเองตั้งแต่เด็กผมอยากแชร์กับผู้อ่าน ก่อนจบมหาวิทยาลัย ผมฝันจะมาเรียนต่ออเมริกา ผมคุยกับเพื่อน ครับผมควักกระเป๋าเรียน AUA ติดต่อมหาวิทยาลัยสอบโทเฟิล ครับความฝันเพื่อนๆเดินตามผมหลายคน ถามว่าจะมาอเมริกาได้อย่างไร ครับปีโน้นเกิน 50 ปี เดี๋ยวนี้คิดจะไปไหนได้ทั้งนั้น ครับความฝันเป็นไปได้เสมอ แม้แต่ผมท่องเที่ยวในยุโรปคนเดียว ปี 1973 ช่วงเรียนปริญญาโท 1969 โรงเรียนหยุดนั่งเกรฮาวไปหลายเมือง วันนี้ผมทำขนมด้วย ตะโก้ ครับ เกินคาดหมาย ไปวัด ไปบ้านเพื่อน คนทานพูดเอาใจผม ขนมอร่อย ผมทาน 3 ถ้วย จะพูดให้กำลังใจหรือผมพยายามปรับปรุงและพัฒนา เติมน้ำมัน เต็มแม่บ้านหยุดซื้อกาแฟนั่งทาน นิยม แม็กโดนัล ครับราคา “ซีเนียร์” ประมาณเหรียญเดียว ซื้ออาหารข้างเคียง อย่างแซนวิสไข่ จะเดินทางหรือมีชีวิต รู้จักจัดสรรเงิน ก็สามารถมีใช้ไม่ขาดเพียงไม่ฟุ่มเฟือย

ครับชีวิตผมนิยม ความเรียบง่าย การสร้างตัว กลายเป็นความลงตัว กินอยู่ไม่หรู ยกเว้นลูกชาย ลูกสาว และหลานมา ก็หาที่กินแบบรสนิยมของคนรุ่นใหม่ เรียนมีงานทำ คลุกคลีกับชีวิตรอบตัว

ก่อนออกเดินทาง เติมน้ำมัน เต็ม เช็ดยางของคอสโกด้วย ทุกอย่าลงตัว ผมชอบคำพูดภาษาไทย คำว่าลงตัว ไม่หรูไม่ต่ำกว่ามาตราฐาน ลงตัวคือความพอดี จับความคิดจากความรับรู้ คือความรู้สึก คำตอบคือความพร้อม

ขับรถขึ้นฟรีเวย์ 80 เหนือ เกิน 10 กว่าไมล์ ต้องข้ามสะพาน เดี๋ยวนี้ข้ามสะพาน ผ่านด่านไม่มีเจ้าหน้าที่ รอเก็บเงินเวลา รถหยุด ผ่านด่าน ยกเว้นคนซื้อบัตรผ่านโดยไม่ต้องหยุด

มี 3 ครั้ง ผมผ่านด่านแล้วไม่หยุดจ่ายเงิน ไม่นานบิลล์มา ไม่คิดค่าเกินเวลา ครับคำว่าความเจริญของระบบงาน คือความถูกต้อง ธุรกิจจะคิดเสมอ ให้ความสะดวกสบายเหมือนกับกินก่อนแล้วลงบัญชี จ่ายตอนหลังไม่คิดดอกเบี้ย เพียงไม่เบี้ยวถึงเวลาไม่ต้องทวง เสนอหน้า ควักกระเป๋าจ่ายหลายวันผ่านมา เท่ากับสร้างเครดิต ครับเครดิตเป็นบุญกุศล คือ ความเกื้อกูล พึ่งพา และตรงกับคำใช้ก่อนจ่ายทีหลัง