ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



วิสาขปุณณมี ชวนกันความดี บวชเนกขัมมจาริณี สืบสานประเพณีกวนข้าทิพย์ ตอนที่ 1

20 - 22 พฤษภาคม วิสาขบูชาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ข่าวการเชื้อเชิญผู้มีศรัทธาที่จะเข้าถือบวชเป็นพุทธิสาวิกาเนกขัมมจาริณี ร่วมบุญร่วมบวชที่วัดทุ่งเศรษฐี เมืองเลควูด ในโอกาสวิสาขะบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อาตมากล่าวถึงไว้ว่าจะพาผู้ถือศีลเป็นพรหมจารีณีนั้น ประกอบพิธีกวนข้าวทิพย์ ญาติโยมท่านใดหากว่าท่านเคยได้เข้าร่วมบุญพิธีกวนข้าวทิพย์ ก็จะทราบว่า ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ ในขั้นเตรียมการนั้นต้องมีการประชุมออกกำหนดการ แจกงานแจกหน้าที่รับผิดชอบส่วนงานที่จำเป็นต้องมี ภาษิตว่า ไม่มีก็ต้องหา ไม่มาก็ต้องซื้อ ประเพณีนี้เห็นได้ตามชนบท จะมีญาติโยมชาวบ้านออกมาร่วมตัวกันที่วัดจัดขบวนแห่กันหลอน (แห่กันหลอน คงหมายถึงบอกบุญกะทันหัน) ขอรับบริจาคเป็นมะพร้าว มันเทศ มันแกว สารพัด ถั่ว งา ข้าวเปลือกข้าวสาร ข้าวเม่า ข้าวก่ำ เนยใสเนยข้น น้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำอ๋อย ฯลฯ กล่าวกันว่าเตรียมตัวกันเป็นเดือนๆ หากแต่ถ้าเคยปฏิบัติทำกันมาเป็นประเพณีมาแล้วนั้นค่อนข้างว่าง่าย เพราะประสบการณ์ลดปัญหาประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก ถามว่าจริงๆ แล้วข้าวทิพย์ที่ว่านี้มีประวัติสำคัญ มีความเป็นมาอย่างไร ข้าวทิพย์มีรสชาติโอชะกว่าอาหารหรือขนมหวานอื่นๆ แค่ไหนเพียงไร เสร็จประกอบการวิธีปรุงแล้ว จะเกิดคุณค่าโภชนาการ หรือคุณค่าทางด้านใดกันบ้าง คงต้องมีรายละเอียดข้อปลีกย่อยมาตีประเด็นกันถึงสารัตถะ ที่นี้ข้าวทิพย์นั้นใช่หมายถึงข้าวมธุปาญาสไหม? ข้าวมธุปายาสที่อดีตสตรีท่านหนึ่งในครั้งพุทธกาลได้ปรุง แล้วนำไปถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนแต่จะตรัสรู้ สตรีท่านนั้นคือ นางสุชาดา

นางสุชาดาเป็นธิดาของเสนียะ (เสนานิกุฏุมพี) ผู้มีทรัพย์ซึ่งเป็นนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา และเป็นมารดาของพระยสมหาสาวก ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดใน เรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมา นางฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถึงสรณะก่อนอุบาสิกาทั้งปวง จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น

นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป บังเกิดในครอบครัวของกุฎุมพีชื่อเสนียะ ณ ตำบลอุรุ

เวลาเสนานิคม ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด เจริญวัยแล้วได้ทำความปรารถนาไว้ ณ ต้นไทรต้น

หนึ่งว่า ถ้านางไปมีเหย้าเรือนกะคนที่เสมอๆ กัน ได้บุตรชายในท้องแรกจักทำพลีกรรมประจำปี แล้วความปรารถนาของนางก็สำเร็จ เมื่อพระมหาสัตว์ทรงทำทุกรกิริยาครบปีที่ 6 ในวันวิสาขปุณณมี นางมีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน 6 และก่อนหน้านั้นแหละ ได้ปล่อยแม่โคนมพันตัวให้เที่ยวไปในป่าชะเอม ให้แม่โคนม 500 ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม 1,000 ตัวนั้น แล้วให้แม่โคนม 250 ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม 500 ตัวนั้นรวมความว่า นางต้องการความข้นความหวาน และความมีโอชะของน้ำนมจึงได้กระทำการหมุนเวียนไป จนกระทั่งแม่โคนม 8 ตัวดื่มน้ำนมของแม่โคนม 16 ตัว ด้วยประการฉะนี้.

ในวันเพ็ญเดือน 6 นางคิดว่า จักทำพลีกรรมตั้งแต่เช้าตรู่ จึงลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งของราตรี แล้วให้รีดนมแม่โคนม 8 ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ทันมาใกล้เต้านมของแม่โคนม แต่เมื่อพอนำภาชนะใหม่เข้าไปที่ใกล้เต้านม ธารน้ำนมก็ไหลออกโดยธรรมดาของตน.

นางสุชาดาเห็นความอัศจรรย์ดังนั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง เมื่อนางกำลังหุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกสักหยาดเดียว ก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ

สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง 4 มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตนๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาต้นน้ำหวานฉะนั้น จริงอยู่ ในเวลาอื่นๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุก ๆคำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณ และวันปรินิพพานใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตนณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า "นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใส่ยิ่งนัก เพราะว่าเราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถานโดยเร็ว" นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้ ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบิน 5 ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์

ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์. นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่สุชาดา นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา ก็เพราะเหตุที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน ฉะนั้นนางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทองนางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมา เพื่อใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุมฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่ ต่อไปสิ่งอัศจรรย์อะไรหรือจะเกิดขึ้นในเหตุการณ์เรื่องราวของสตรีที่ชื่อสุชาดา สุชาดา ความหมายคือ ธิดาผู้ถือการกำเนิดขึ้นมาด้วยความ ดีงาม การกวนข้าวทิพย์ถวายเป็นพุทธบูชา จะเกิดอานิสงส์อย่างไร เรื่องนี้คงต้องคอยติดตามอ่านต่อฉบับหน้าแล้วละ และต้องบอกศรัทธาสาธุชนว่า 2 สัปดาห์ อาตมาเดินทางปลีกวิเวกเข้าอบรมกรรมฐานที่ประเทศไทย กลับมาอีกทีก็เป็นวิสาขะพอดี อุปกรณ์ขั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อม (ขำๆ ขาดแต่กระทะใบบัว กลับมาจากประเทศไทยจะหิ้วขึ้นเครื่องมาด้วย) ขอเจริญพร

...............อ่านต่อฉบับหน้า.....................