ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



เลือกคนให้เหมาะมาเป็นคู่ชีวิต

ญาติโยมท่านพุทธบริษัท สาธุชนผู้สนใจในธรรม ท่านคงเคยได้ยินได้ศึกษาฟังมา เรื่องนางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี นางสุชาดาผู้ถวายข้าวมธุปายาสก็ดี สองท่านนี้ดูว่าจะมีอุปนิสัยต่างกัน นางวิสาขาเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ใจเย็น สุขุมลุ่มลึก ส่วนพระนางสุชาดามีความอ่อนไหว จิตใจเร้าร้อน ดังจะเห็นได้จากเรื่องใน ภริยาสูตร


ความนำ

สมัยนั้นแล ในนิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคหบดี มีเหล่ามนุษย์ส่งเสียงดังอื้ออึง อนาถบิณฑิกคหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามอนาถบิณฑิกคหบดีดังนี้ว่า "คหบดี เหตุไรหนอ เหล่ามนุษย์ในนิเวศน์ของท่านจึงส่งเสียงดังอื้ออึง เหมือนชาวประมงแย่งปลากัน"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุชาดานี้ ข้าพระองค์พามาจากตระกูลมั่งคั่ง เป็นสะใภ้ในเรือน นางไม่เชื่อฟังแม่ผัว ไม่เชื่อฟังพ่อผัว ไม่เชื่อฟังสามี แม้แต่พระผู้มีพระภาค นางก็ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา"

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกนางสุชาดาหญิงสะใภ้ในเรือนมาตรัสว่า "มานี่ สุชาดา" นางสุชาดาหญิงสะใภ้ในเรือนทูลรับสนองพระดำรัส แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัส "ภริยาสูตร" ภรรยา 7 จำพวกกับนางสุชาดาหญิงสะใภ้ในเรือนดังนี้ว่า

1. ภรรยาดุจเพชฌฆาต

วธกาภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น ภรรยาใดคิดประทุษร้ายต่อสามีของตน โดยความหึงหวงจดจ้องมองหาแต่จับผิด เคลือบแคลงสังสัย ไม่ไว้วางใจไม่เชื่อมั่นในคำสัตย์ของสามี ลักลอบยินดีต่อชายอื่น ดูหมิ่นสามี ยอมใเป็นหญิงที่เขาซื้อมาด้วยทรัพย์ พยายามกล่าวหาว่าร้ายทำลายชื่อเสียงถึงขั้นพยายามฆ่าสามีตน ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจเพชฌฆาต

2. ภรรยาดุจนางโจร

โจรีภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไรก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ภรรยาใดมุ่งจะยักยอกทรัพย์แม้มีจำนวนน้อย ที่สามีประกอบศิลปกรรม พาณิชยกรรม และกสิกรรมได้มา เก็บซ่อนทรัพย์อันสามีหาได้ เพื่อปรนเปรอความสุข ผลาญทรัพย์ไปในทางมิควร เช่น โบก เบี้ย หวย เบอร์ เพื่อการพนันขันต่อ หรือจับจ่ายโดยมิคำนึงความลำบากได้มา ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจนางโจร

3. ภรรยาดุจนายหญิง

อัยยาภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ ภรรยาใดไม่สนใจการงานไม่รู้จักทำมาหากิน ไม่ฉลาดในศิลปะในการปรุงอาหาร เกียจคร้านมักง่าย กินจุไม่สุภาพ หยาบคายไม่เคารพเกรงใจ ดุร้ายเกรี้ยวกราด มักพูดคำชั่วหยาบลามก ข่มเหงสามีผู้หมั่นเพียร ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจนายหญิง

4. ภรรยาดุจมารดา

มาตาภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ ภรรยาใดเป็นผู้เกื้อกูลอนุเคราะห์ทุกเมื่อ กล่าวกับสามีด้วยถ่อยคำไพเราะ ปรารถนาดี ห่วงใย คอยทะนุถนอมร่างกาย ถามไถ่เรื่องปากท้องว่าหิวหรือว่าอิ่ม มักคิดค้นทำอาหารให้รับประทาน ดูแลรักษาน้ำจิตใจไมตรีของสามีด้วยความชื่นชมยกย่อง เหมือนมารดาคอยทะนุถนอมบุตร แลรักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้มั่นคง ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจมารดา

5. ภรรยาดุจพี่สาวน้องสาว

ภคินีภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี ภรรยาใดเป็นเหมือนพี่สาวน้องสาว ให้ความเคารพเชื่อฟัง ดูแลห่วงใยใคร่รักในสามีของตน มีใจละอายต่อบาปอันจะเป็นการส่งผลต่อกัน ตักเตือนและคุ้มครองซึ่งกัน ยอมสละความคิดความตั้งใจของตนเพื่อประพฤติคล้อยตามอำนาจสามี ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจพี่สาวน้องสาว

6. ภรรยาดุจเพื่อน

สขีภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ภรรยาใดเห็นสามีแล้วชื่นชมยินดี เหมือนเพื่อนเห็นเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตรปฏิบัติต่อสามี ตักเตือนและคุ้มครองเสมอว่า รักษาประโยชน์กันและกัน วางใจได้ ไว้ใจอย่างผู้ซื่อตรง แนะนำประโยชน์ร่วมกัน ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจเพื่อน

7. ภรรยาดุจทาสี

ทาสีภริยา หมายถึง ภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้ คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้เลี้ยงดู สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ แม้ถูกดุด่าเฆี่ยนตีบ้างก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ ภรรยาใดถูกสามีข่มด้วยถ้อยคำ หรือเฆี่ยนตีบีโบยก็ไม่โกรธ ยอมตนสงบเสงี่ยม ไม่คิดขุ่นเคืองสามี สู้ทนทำหน้าที่ด้วยเต็มใจ ไม่คิดพยาบาทเคืองแค้น ประพฤติคล้อยตามอำนาจสามี ตั้งใจมั่นในครอบครัวอย่างเต็มหน้าที่และกำลัง ภรรยาเช่นนี้ เรียกว่า ภรรยาดุจทาสี


สุชาดา เข้าใจเรื่องภรรยา 7 จำพวก

นางกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่หม่อมฉัน โดยวิธีที่หม่อมฉันจะเข้าใจความหมายแห่งพระภาษิตที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยย่อนี้ได้อย่างพิสดาร"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "สุชาดา ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว" นางสุชาดา หญิงสะใภ้ในเรือนทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

ภรรยาใดในโลกนี้ ที่เรียกว่า ภรรยาดุจเพชฌฆาต ภรรยาดุจนางโจร และภรรยาดุจนายหญิง ภรรยานั้น เป็นผู้ทุศีล หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อตายไป ย่อมไปสู่นรก

ส่วนภรรยาใดในโลกนี้ ที่เรียกว่า ภรรยาดุจมารดา ภรรยาดุจพี่สาวน้องสาว ภรรยาดุจเพื่อน ภรรยาดุจทาสี ภรรยานั้น เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในศีล ยินดีและสำรวมมานาน เมื่อตายไป ย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์


สุชาดา เธอเป็นภรรยาจำพวกไหน

นางสุชาดากราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันไว้ว่า เป็นภรรยาดุจทาสี" ภริยาสูตรที่ 10

ท่านสอนให้ภรรยาสำรวจตนว่า ที่เป็นอยู่นั้น ตนเป็นภรรยาประเภทไหน สำหรับชาย อาจใช้เป็นหลักสำรวจอุปนิสัยของตนว่าควรแก่หญิงประเภทใดเป็นคู่ครอง และสำรวจหญิงที่จะเป็นคู่ครองว่าเหมาะกับอุปนิสัยของตนหรือไม่ แท้จริงแล้ว พุทธศาสนา สอนให้รู้จักคิด แยกแยะ แล้วเลือกสิ่งที่เหมาะกับจริตตนไปปฏิบัติตามความเหมาะสม ส่วนนางสุชาดานั้นเธอก็เลือกที่จะเป็นของเธอเอง เราเองนั่นแหละต้องเลือกในสิ่งที่จะเป็น แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งกันได้ แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งไม่ได้ บุญใผบุญมัน โบราณว่า "เลือกอย่างไหน ก็ได้อย่างนั้น" เลือกดี ๆ เด้อ ลูกหลานเอ้ย เจริญพร