ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



คิดเป็นประสบความสำเร็จทุกอย่าง

ท่านทั้งหลายที่เป็นแฟนพันธ์แท้ คอลัมน์ธรรมะสมสมัย ฉบับที่ผ่านมา อาตมาเขียนเรื่อง "ความสำเร็จใหญ่น้อย สำคัญที่ตั้งใจ" ท่านใดมิได้อ่านต้องรีบกลับไปหาอ่านเลยนะ เพราะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน เพราะความคิดคือความตั้งใจ คนเราตั้งใจเรื่องอะไรก็มักจะคิดเรื่องเหล่านั้น จริงไม่จริง ? เช่น ท่านที่คิดจะเปิดร้านทำร้านอาหาร ท่านนั้นก็ต้องเพียรคิดเรื่องว่าจะเปิดที่ไหน จะเปิดเมื่อไร จะทำอย่างไร จะขายให้ใคร "จะโน้นจะนี่ จะ ๆ จะ ๆ" ท่านเหล่านั้นล้วนต้องตั้งคำถามไว้ในใจเสมอ ใช่ไหม?


คิดเป็น คิดอย่างไร

ปัจจุบันมักจะได้ยินคำว่า "การตื่นรู้" คำนี้กินความไว้กว้างมาก เป็นธรรมเครื่องกำจัดถินมิทธะนิวรณ์ด้วย เพราะนิวรณ์เป็นอุปสรรคของความสำเร็จทั้งมวล คนที่ถูกนิวรณ์ครอบงำแล้ว ร้อยทั้งร้อย ไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ ในชีวิต คำว่า ถีนมิทธะ เกิดจากคำ 2 คำ คือคำว่า ถีนและมิทธะ

ถีนะ หมายถึง ความหดหู่

มิทธะ หมายถึง ความเคลิบเคลิ้ม

ซึ่งเป็นอาการของจิตเกิดความห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง และซึมเศร้า ง่วงเหงาหาวนอน เป็นเหตุให้เกิดความหมดอาลัย เกิดความเกียจคร้าน ความไม่กระตือรือร้น ปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม เป็นอุปสรรคต่อคำว่า "การตื่นรู้"

คนที่มีอาการถูกถีนมิทธะครอบงำจะมีอาการง่วงเหงาซึมเซา หดหู่ เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขาดความหวัง ขาดกำลังใจ เกิดความเบื่อหน่ายชีวิต ไม่คิดอยากทำสิ่งใด ๆ ขาดวิริยะอุตสาหะในการทำสิ่งต่าง ๆ ปล่อยให้ความคิดเลื่อนลอยไปเรื่อย ๆ จึงมักที่จะเป็นคนฟุ้งซ่านเจ้าอารมณ์ เมื่อจิตไม่ตื่นรู้จะประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตได้อย่างไร ?

ดังนั้นการคิดให้เป็นประสบความสำเร็จทุกอย่าง นั้นต้องมีสติความระลึกได้ มีสัมปชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นอันสรุปง่าย ๆ สอนง่าย ๆ อธิบายง่าย ๆ ว่าดังนี้

"สติมา ปัญญาเกิด / สติเตลิด จะเกิดปัญหา"

"สติดี จะมีรอยยิ้ม / สติถูกทิ่ม ร้อยยิ้มจะไม่มี"

"สติดี จะมีสตังค์ / สติถอยห่าง สตังค์จะไม่มี"

"สติดี ผีจะหลบ / สติถูกลบ จะพบกับผี"

"สติมา หมาไม่กัด / สติถูกตัด ชอบจะกัดกับ..?..."

คำสอนที่เห็นว่าง่าย ๆ อย่างนี้ แต่กลับซ่อนแฝงไว้ด้วยเกร็ดความรู้ สรุปอีกทีเป็นสรุปที่ซ้อนสรุป (ขำๆ) คนที่คิดการไกล ผู้ปรารถนาความสำเร็จทุกอย่าง "ต้องเจริญสติ" เมื่อเจริญสติแล้วความสำเร็จก็อยู่มิไกลเกินเอื้อมจริง ๆ ดังพระบาลีที่สมเด็จพระสังฆราชสาทรงแสดงไว้ว่า (สํ . ส. ๑๕/ ๓๐๖.)

"สติมโต สทา ภทฺทํ : คนผู้มีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ"

"สติมา สุขเมธติ : คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข"

"สติมโต สุเว เสยฺโย : คนมีสติ เป็นผู้ประเสริฐทุกวัน"

"สติ โลกสฺมิ ชาคโร : สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก" (การตื่นรู้)


ตัวอย่าง วิธีคิดสู่ความสำเร็จ

1) ต้องไม่มองโลกในด้านลบ

ตลอดเวลาของประเภทบุคคลที่มองโลกในแง่ลบแง่ร้าย เป็นคนในกลุ่มผู้มีจิตประกอบอกุศล สั่งสมบาป คือ ประเภทมองโลกคับแคบ เป็นกลุ่มความคิดที่เจือความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เป็นคนชอบบ่นชอบวิจารณ์ ชอบกล่าวหาว่าร้าย มองทุกข์เพ่งโทษของผู้อื่นในทุกเรื่อง ส่วนตนเองเวลาจะทำอะไร ๆ นั้น คนกลุ่มนี้มักมีนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง และชอบแก้ตัว หากใครอยู่ใกล้คนประเภทนี้ บางครั้งอาจเป็นการได้รับพลังงานด้านลบจากเขามาเป็นเครื่องบั่นทอนจิตใจ ดังนั้นถ้าต้องการความสำเร็จ ต้องไม่มองโลกในด้านลบ ไม่อิจฉา เมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ ยิ่งโลกนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่าไหร่ โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความสุขมากขึ้นเท่านั้น

2) ต้องไม่มองเรื่องยากๆ ให้เป็นปัญหา

การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเป็นคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเจอเรื่องยาก ๆ ปัญหายาก ๆ สิ่งที่บุคคลกลุ่มนี้จะคิดคือ ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข มีความพยายมหาวิธีที่จะเอาชนะปัญหานั้น ๆ ให้จงได้ เอาทั้งความรู้ ทั้งประสบการณ์มาประเมิน เคยชนะปัญหาในอดีตด้วยวิวัฒนาการใด ปัจจุบันยิ่งต้องมีวิธี มีเครื่องมือที่ดีกว่า โดยที่สุดมีจิตใจท้อถอย เพราะฉะนั้น ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าบุคคลกลุ่มนี้ ตอนนี้มีวิธีคิดใหม่ มีวิธีการใหม่ มีเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ มีปัญญาดวงใหม่เกิดขึ้น เป็นประสบการณ์และเป็นผลงานชิ้นใหม่ ทำให้กลุ่มนี้มีพัฒนาการที่เก่งยิ่งขึ้นอย่างน่าชื่นชม นับเป็นวิธีคิดสู่ความสำเร็จอีกข้อหนึ่ง

3) ต้องไม่จมอยู่กับวังวน

"ความล้มเหลว" ทำให้บุคคลกลุ่มนี้แข็งแกร่ง ยิ่งล้มยิ่งรู้ คือส่วนหนึ่งของการเติบโตทางปัญญา เป็นโอกาสที่กลุ่มนี้จะได้เรียนรู้ เพื่อก้าวไปข้างหน้า เพราะบุคคลกลุ่มนี้เชื่อว่า ไม่ว่าเราจะล้มอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาใหม่ คุณจะแข็งแกร่งกว่าเดิม นี่ก็เป็นวิธีคิดสู่เส้นทางความสำเร็จ ตัวอย่างนักมวยที่พยายามจะชกเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ เขาต้องพยายามฟิตซ้อมอย่างหนัก การแพ้ครั้งก่อนไม่เป็นเหตุทำให้เขาท้อถอย ไม่จมอยู่กับวังวน แต่กลับเป็นแรงพลักดันให้มุ่งมั่นต่อการสู้บนสังเวียน เพื่อคว้าชัยชนะนั้นมาให้จงได้

4) ต้องรู้จักออกจากปัญหา

วัน ๆ ใช้ชีวิตจมปลักซึมเซาอยู่กับปัญหา จะหวังความสำเร็จเกิดขึ้มาจากไหน เพราะตนเองไม่รู้จักออกจากปัญหา เมื่อมีปัญหา หรือว่าเมื่อปัญหาเกิดขึ้น เราจะต้องได้อะไร ๆ กับปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เช่น ได้คิดเองโดยการพยายามของตนเอง, ได้เพื่อนช่วยคิดรับทราบปัญหาเป็นเพื่อนคูรคิด, ได้ประสบการณ์ใหม่ ได้ทางออกใหม่ (ถ้าไม่มีทางออกจริง ๆ ก็ให้กลับไปออกตรงที่ทางเข้า มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร) ถ้าเราไม่รู้จักออกจากปัญหาเราก็จะได้เหมือนกัน คือ ได้ความเครียด และนั่นคือช่องทางที่จะเจอปัญหาชีวิตเพิ่มอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะมันจะทำให้เราค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้น

5) ต้องเอาความจริงมาเป็นสาระสำคัญ

สัจจะ "คุณธรรมที่ควรใส่ใจ" ผิดคำมั่นสัญญารักก็เป็นชัง ต่อไปถึงมีตังค์จ้างก็ไม่ให้ใครยืม นาฬิกา ให้เวลาไม่ตรงคงเป็นได้เพียงแค่ "เศษนาฬิกา" ที่หาคุณค่าใด ๆ มิได้เลย ใครละทิ้งความสัตย์ซื่อจริงใจ คงยากที่จะหวังความสำเร็จสูงส่งในชีวิต เราจะไม่วัดค่าตัวเองจากคำพูดหรือคำตัดสินของใคร เพราะเรารู้ค่า รู้หลักการ รู้เป้าหมายของตัวเอง ความจริงจึงเป็นสาระสำคัญของผู้มุ่งหน้าสู่ความสำเร็จ อย่าชอบแก้ตัวมัวโทษสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความผิดพลาด ต้องรู้รับผิดชอบต่อหน้าที่และอุดมการณ์ของตนอย่างไม่ย่อท้อในทุกๆ วัน อย่าตระหนี่ที่จะกล่าวคำขอบคุณคน ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเราประสบความสำเร็จในวันนี้ และวันข้างหน้า

ขอให้ท่านทุกคนประสบ ความสุข ความสำเร็จ ความสมปรารถนาในชีวิต ธุรกิจหน้าที่การงานทุกท่านทุกประการ ขอให้เจริญรุ่งเรือง มีเงินมีทรัพย์ มีอริยะทรัพย์ เทอญ รูปขอจำเริญพร