ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



สะเทือนสงฆ์ไทยไปทั่วโลก
เสื่อมเสียชื่อเสียงสิ้น สงฆ์ไทย
สั่นคลอนสะเทือนไป ทั่วหล้า
ปฏิรูป ฤๅ ทำลาย เหยียบย่ำ
จาบจ้วงกำแหงกล้า รัฐคุ้ม ฤๅ ไหว ฯ

ท่านพุทธบริษัท สาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ชีวิตและวัยหยิบยื่นข่าวสารข้อมูลความรู้ ประสบการณ์พร้อมกับสถานะการณ์แวดล้อม บุคคลแวดล้อม เทคโนโลยีและเหตุปัจจัยแวดล้อม หยิบยื่นความพอใจชอบใจ หยิบยื่นความสำเร็จให้เรา หรือแม้บางโอกาสก็หยิบยื่นปัญหาอุปสรรคนานา ประการให้กับเรา ปัจจุบันนี้ ไม่ว่า facebook - line - youtube TV news online ยุคสมัย 4.0 Globalization บางครั้งเกิดผลกระทบใหญ่ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดควบคุม เพราะไม่รู้อะไรถูกผิด วิสัยทรรศของผู้เสพข่าวทางโลกโซเซียล บางกลุ่มมักง่ายไม่ได้สืบค้นข้อมูลให้ชัด ใช้อัตตโนมัติตัดสินกันสนุกปากไปแล้ว ชาวพุทธเราต้องหนักแน่นให้จงหนัก คิดดี ทำดี เลือกเสพสิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่ทำให้จิตใจนั้นเข้มแข็ง เพราะจิตยิ่งเสพอยู่กับสิ่งใด ใจก็จะติดคุกทางความคิดอยู่กับสิ่งนั้น ๆ

เช่น เสพละครบุพเพสันนิวาส ก็ไม่อยากพลาดแม้เพียงตอนเดียว หรือบางท่านนั้น จิตจมอยู่กับอุปสรรค ใจก็ยากที่ตะกายให้หลุดพ้น "เหมือนปลาจมบ่อโคลน" บางคน จิตมีความพยาบาท ใจก็ก่อความอาฆาตรปองร้ายอยู่ทุกเมื่อ หลวงพ่อจึงพยายามจะบอกว่า สัมผัสภายนอก สิ่งยั่วเย้าภายนอก มักจะสร้างความเร้าร้อนบุกรุกเข้าไปภายในใจทั้งสิ้น ต้องหนักแน่นมีสติถึงจะสามารถนำพาตนให้รอดพ้นบ่วงแห่งมาร


ผลกระทบใหญ่

บ่นบ้างได้ไหม ! รู้สึกไม่สบายใจเลย ติดตามข่าวหน้าหนึ่งทางเมืองไทย "เหตุเกิดที่เมืองไทย กระทบไกลไปทั่วโลก" ข่าวพระมหาเถระในประเทศไทย ผลกระทบอันยากจะหลบเลี่ยง ให้นึกถึงพระ บาลีที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฺฐี สมติวิชฺฌติ

เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ.

ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีฉันใด ราคะย่อมรั่วรดจิตที่ไม่ได้อบรมฉันนั้น (พุทฺธ) ขุ. ธ. 25/16 เนื้อความในเรื่องนี้มีอยู่ว่า : วันหนึ่ง พระเถระเมื่อจะชมเชยภาวนาว่า สัตว์เหล่านี้อันราคะครอบงำได้ เพราะไม่เจริญภาวนา เมื่อมีการเจริญภาวนา ราคะก็ครอบงำไม่ได้ ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาความว่า

"เรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฝนย่อมรั่วรดได้ฉันใด จิตที่ไม่ได้อบรมแล้ว ราคะย่อมรั่วรดได้ฉันนั้น"

"เรือนที่มุงดีแล้ว ฝนย่อมรั่วรดไม่ได้ฉันใด จิตที่อบรมดีแล้ว ราคะย่อมรั่วรดไม่ได้ฉันนั้น ดังนี้...

ญาติโยมท่านทั้งหลาย ธรรมชาติแห่งฤดูลมฝนก็ดี ลมหนาว - ลมร้อนก็ดี เราไม่สามารถปฏิเสธผลกระทบนั้น ๆ ได้เลย และเราต้องอยู่กับธรรมชาติเหล่านี้ให้ได้ ฤดูฝนเราต้องหลีกเลี่ยงการตากฝน เพื่อไม่ให้เป็นหวัดเป็นไข้ เราต้องรู้จักป้องกัน บางคนเสี่ยงตากฟ้าตากฝนทำงานอยู่กลางท้องทุ่งนั้นต้องระวังสุขภาพ เพราะอาจได้ไม่คุ้มเสีย ลมหนาวลมร้อนก็เช่นกัน ต้องรู้จักป้องกันตนเองเพื่อต่อสู่อยู่ให้ได้กับธรรมชาติเหล่านั้น


ภัยพระพุทธศาสนา

"ภัยของพระพุทธศาสนา" จะมีกำลังก็ต่อเมื่อจิตใจของชาวพุทธเรานั้นสั่นคลอนต่อศรัทธา และปัญญาแห่งโพธิ การรู้ ตื่น เบิกบาน รู้ทันต่อภัยอันพึงมีผลกระทบต่อคุณค่าแท้แห่งโพธิปัญญา พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม มีแต่คนเรานี่แหละที่เสื่อมจากพระพุทธศาสนา

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมก็คือ "คนพาล" เป็นผู้จุดชนวนก่อภัยให้มีผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยใช้ทุกสื่อโพสต์แต่เรื่องราวที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อความเชื่อความศรัทธาของชาวพุทธ เรื่องราวที่ต่อต้านนั้น หากเกิดจากฝ่ายตรงกันข้ามรุกเข้าโจมตี เราคงต้องช่วยกันผลักดันออกไป แต่เท่าที่สังเกตมีทั้งภัยภายนอก และภัยภายใน ที่น่ากลัว

1) ภัยภายนอก ได้แก่ คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ในยามปกติก็พยายามกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา หากมีโอกาสก็จะบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขว คอยจ้องหาโอกาสทำลายพระพุทธศาสนา

2) ภัยภายใน ได้แก่ ชาวพุทธที่ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความคลางแคลงสงสัยในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่เคารพในพระธรรม คือไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง ไม่เคารพในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ยังจาบจ้วงว่า "พระสงฆ์ไม่ใช่พุทธศาสนา" เห็นแต่ลูกชาวบ้านที่ไหน ๆ ที่เอาผ้าเหลืองมาห่อตัวเท่านั้น พระพุทธศาสนาคือพระพุทธ พระธรรม เท่านั้น


อดทนไว้เด้อใจเด้อ..

โอ้ย !...โยมเอ้ย ! .....ดูข่าวแล้วจะให้คิดย่างไร ? บางท่านที่กระพือข่าวบอกมาว่า "พระต้องอยู่ในป่า ไม่ใช่มาอยู่แสวงหาเอกลาภในเมือง แถมบางท่านฝ่ากระแสสังคมบอกมาว่า พระต้องไม่ดูโทรทัศน์ ต้องไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งยั่วเย้ากิเลส เป็นพระต้องบวชมาเพื่อศึกษาพระธรรม ปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์ภาวนาอย่างเดี่ยว ไม่ควรมาข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก

ญาติโยมพี่น้องเราคิดกันอย่างไร หลวงพ่อคิดว่า "สมองคนมันก็มีอยู่หลายส่วน" / "คนพาลแบบนี้เขาเอาสมองส่วนไหนมาคิด" ทุกวันนี้วิชาสอนศีลธรรมในโรงเรียนก็ไม่มีแล้ว เท่านั้นยังไม่พอเขตไหนที่มีผู้นับถือศาสนาอื่น ต้องสร้างห้องไว้สำหรับให้ศาสนิกของศาสนานั้น ๆ เพื่อสวดมนต์ไหว้กราบทำกิจกรรมทางศาสนานั้น ๆ ด้วย

หลวงพ่อก็เป็นพระสงฆ์ ไม่ใช่อริยะสงฆ์ เป็นสมมุติสงฆ์ ได้ยินอย่างนี้ มันจุกอกเด้....(อดทนไว้เด้อใจเด้อ) หลวงพ่อก็ไปเปลี่ยนแปลงอะไรใครไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าจะปรับเปลี่ยนให้อยู่ให้ได้กับธรรมชาติที่เกิดขึ้น เหมือนการต่อสู้กับสภาพลมหนาว ลมร้อน ลมฝน ฝากไว้ให้ญาติโยมไปคิดกันต่อว่า การคุ้มครองพระพุทธศาสนาของเราให้ปลอดภัยนั้น ควรจะทำอย่างไร ?

สืบมาทุกยุคทุกสมัยทั้งในอดีตและปัจจุบัน เห็นแต่พระบารมีล้นเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทุก ๆ พระองค์ผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก จะพึงปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาไว้ได้มั่นคงเป็นที่สุด ฉบับนี้หลวงพ่อขอจบลงด้วยบทประพันธ์ "หัวใจเมือง" โดย : "ถนอม อัครเศรณี" รูปขอจำเริญพร


@@ เมืองใดไม่มีทหารหาญ เมืองนั้นไม่นานเป็นข้า
เมืองใดไร้จอมพารา เมืองนั้นไม่ช้าอับจน
เมืองใดไม่มีพณิชเลิศ เมืองนั้นย่อมเกิดขัดสน
เมืองใดไร้ศิลป์โสภณ เมืองนั้นไม่พ้นเสื่อมทราม
เมืองใดไม่มีกวีแก้ว เมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม
เมืองใดไร้นารีงาม เมืองนั้นสิ้นความภูมิใจ
เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศ เมืองนั้นไม่เพริศพิสมัย
เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย ฯ @@