ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



สัมผัสสวรรค์บนโลกแห่งความจริง

ธมฺมจารี สุขํ เสติ : ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ขอความเจริญจิตจงมีแก่ท่านผู้ประพฤติธรรม ญาติโยมทั้งหลาย พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ ความว่า ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมมีใจหนักแน่นมั่นคง เป็นอิสระจากกิเลส ทำแต่สิ่งที่ควรทำ กล่าวแต่คำที่ควรพูด คิดแต่เรื่องที่ควรคิด จึงอยู่เป็นสุขทุกสถานะทุกภาวะ ผู้ประพฤติธรรมให้ควรแก่ธรรมนั้น ต้องมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา รวมถึงผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต เปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี เกลียดธรรมที่เป็นไปเพื่อความแตกแยก ยินดีในธรรมที่เป็นไปเพื่อความสามัคคี มีความคงมั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ห่งโลกีย์ คือ ไม่หวั่นไหวกับคำสรรเสริญและคำนินทา เช่นเดียวกับภูเขาหินที่ฝังรากลึกลงไปในดิน ไม่กระเทือนเพราะถูกลมพัดฉะนั้น

ดังนั้น ความเป็นอยู่ของผู้ประพฤติธรรมจึงเป็นอยู่โดยสุข ผู้ที่ต้องการความสุข อยากอยู่เป็นสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ต้องเร่งประพฤติธรรม เริ่มตั้งแต่การประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นต้น ฯ


สัมผัสสวรรค์บนโลกแห่งความจริง

ใน "ทานูปัตติสูตร" (พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 สุตตันตปิฎกเล่มที่ 15) เรื่องนี้มีเรื่องสวรรค์ มีเรื่องพระอินทร์ อ่านแล้วมีความยาวพอสมควร แต่จะเล่าให้สั้น ว่ามีเรื่องบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนามีประมาณยิ่ง ทำแล้วเป็นสุข เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และได้อนุเคราะห์โลก คำว่าอนุเคราะห์โลก มีความหมายลึกซึ้งยิ่งใหญ่ ผู้กระทำแล้วมีความภาคภูมิใจ ปราชญ์ทั้งหลายย่อมชื่นชม ถือว่าบุคคลนั้น ๆ เป็นแบบอย่างที่ดีทางสังคม เป็นคนมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ และนี้คือรางวัลแห่งความดี รางวัลแห่งความสุข บนโลกของความจริง เราจะสามารถสัมผัสสวรรค์บนโลกแห่งความจริงได้ด้วยตัวเราเอง

ทางพระพุทธศาสนาเรามีความเชื่อว่าเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดา ด้วยกรรมกิริยากระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ 10 ประการ คือ

1) อายุทิพย์ 2) วรรณะทิพย์ 3) สุขทิพย์ 4) ยศทิพย์ 5) อธิปไตยทิพย์ 6) รูปทิพย์ 7) เสียงทิพย์ 8) กลิ่นทิพย์ 9) รสทิพย์ 10) โผฏฐัพพทิพย์ เรื่องนี้หลวงพ่อเชื่อว่า "ไม่ต้องรอถึงตาย" เพราะหลวงพ่อเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องต้องกำหนดรู้อารมณ์ปัจจุบัน เกิดปัจจุบัน รู้ปัจจุบัน สัมผัสได้ในปัจจุบันลองนำไปพิจารณากัน


บุญกิริยาวัตถุ

บุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ดังนี้

1. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

2. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 หรือศีล 8 ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล 10 ของสามเณร หรือ 227 ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต 4 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต 4 ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต 3 ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

3. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

บุญกิริยาวัตถุทั้ง 3 ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ยิ่งได้รับบุญมหาศาลตามความละเอียดประณีตที่เข้าถึงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ผู้ที่ประสงค์จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จะต้องเป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน ไม่มีความตระหนี่หวงแหนในทรัพย์สมบัติที่ตัวเองหามาได้ ต้องทำบุญที่เกิดจากการให้ทานไว้มาก และต้องรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้ามีโอกาสก็สมาทานศีล 8 หรืออุโบสถศีล การเจริญสมาธิภาวนา เป็นอาจิณณกรรมเป็นต้น ฯ

ต่อนี้ไปความมุ่งหมายที่จะไปสวรรค์หลังความตาย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตากาเล ในอนาคตกาล เราละไว้ วางไว้ก่อนไหม? เพราะเราสามารถสัมผัสสวรรค์บนโลกแห่งความจริงได้ด้วยตัวเราเอง ส่วนการละโลกไปแล้ว บุญนั้นก็ส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นให้เป็นผลในอนาคต เราทำปัจจบันให้ดี มำให้ครบถ้วน อนาคตจะนัดรูปภาวะของมันเอง เพราะหลวงพ่อถือหลักนี้ว่า ชีวิตของเราสามารถเป็นเทวดาได้ในโลกปัจจุบัน ดังธรรมะหมวดคุณลักษณะของเทพ ดังนี้


เทพ หรือ เทวดา มีลักษณะเป็น 3 คือ

1. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ "พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร จัดเป็นสมมติเทพ"

2. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด "ภุมมเทวดาสิงอยู่ ณ ภพนี้ ที่ต้นไม้บ้าง และที่วัตถุอื่น ๆ บ้าง ซึ่งเรียกว่าพระภูมิบ้าง วัตถุเทวดาบ้าง และอากาสัฏฐกเทวดาสิงอยู่ในอากาศ ต่างโดยเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง จัดเป็น อุปปัตติเทพ"

3. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ "พระอรหันต์ จัดเป็นวิสุทธิเทพ"

สิ่งที่เราเคยได้ยินมาไม่เคยพิสูจน์ เทพทุกสถานะ ทุกภาวะ มีวิมาณเป็นของ ๆ ตน อยู่ที่ใด ที่เรารู้อยู่คือข้อ 1 สมมติเทพ ส่วนข้อ 2 - 3 นั้นเราได้ยินมาได้ศึกษามาทั้งนั้นใช่ไหม? แต่หลวงพ่อจะบอกว่า เทพทุกภาวะนั้นอยู่ที่ตัวเรา เราต้องเชื่อว่า "มนุษย์มีสักยภาพเหนือเทพเทวะอย่างแท้จริง" ต้องการรายละเอียดไว้ไปศึกษาสนทนาธรรมกับหลวงพ่อที่วัดนะ วันนี้หมดพื้นที่อีกละ รูปขอจำเริญพร


พื้นที่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเดือนนี้

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน ขอเชิญจิตอาสา อุบาสก - อบาสิกา ผู้มีบุญติดตามช่วยสนองงานคณะสงฆ์ (สาธุ) มีรถไปจากวัด 2 คัน มีเครื่องทำงาน เช่น เสียม พรั่ว จอบ ฆ้อน ตะปู ถังน้ำ ไปทำงาน ที่วัดทุ่งเศรษฐี แลนแคสเตอร์ มีร่มเงาพอเป็นที่พัก มีเก้าอี้ ใครจะไปให้เตรียม หรือท่านอยากเป็นการสะดวกก็สามารถนำรถไปเองได้ และไปได้เยอะยิ่งดีใจมาก ช่วยกันขุดหลุมเองโดยเครื่องโบราณ ของบรรพชน ดังกล่าว ใครว่างไปได้เลยนะ เวลา 08:00 น. เดินทางจากวัดทุ่งเศรษฐี ไปเมือง Lancaster มีข้าวห่อติดรถไปเพื่อเป็นภัตตาหารมื้อเพล และเลี้ยงดูสานุศิษย์

1) ได้ช่วยงานจิตอาสาพัฒนาวัดกำจัดกิเลส

2) ได้ชมเครื่องมืออุปกรณ์ทำงานสมัยโบราณ (เสียม)

3) ได้ถ่ายรูปไว้เป็นอนุสรณ์ เล่าสู่ลูกหลาน นี่คือวัดที่พ่อแม่มาสร้างตั้งแต่เริ่มต้น