ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



มหาชนกชาดก ผู้บำเพ็ญวิริยะบารมี

เจริญพรท่านทั้งหลาย ทุกวันอาทิตย์ขอน้ำใจท่านผู้ใจบุญได้ช่วยค้ำจุนอุปถัมภ์ต้นกัณฑ์เทศน์โดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นกุศลประโยชน์จรรโลงพระพุทธศาสนาสืบไป


กษัตริย์แห่งมิถิลานคร

พระเจ้ามหาชนก มหาราชผู้ครองราชย์อยู่ยังนครมิถิลา แห่งแคว้นวิเทหะ ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ พระอริฏฐชนก และ พระโปลชนก หลังจากพระราชบิดาสวรรคต พระอริฏฐชนกผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมา โดยทรงแต่งตั้งพระโปลชนก ผู้อนุชาเป็นพระมหาอุปราช


แผนของอำมาตย์ทรราช

ในเวลาต่อได้มีเหล่าอำมาตย์ผู้ทุจริตบางคน ออกอุบายให้พระอริฏฐชนกเกิดความระแวงพระอนุชา โดยพากันเท็จทูลว่า พระโปลชนกกำลังวางแผนคิดการเป็นขบถ พระราชาทรงหลงเชื่ออำมาตย์เหล่านั้น จึงทรงให้ราชมัลจับกุมพระโปลชนกไปขังไว้ ทว่าด้วยบุญบารมีของพระโปลชนก พระองค์จึงสามารถหลบออกจากที่คุมขัง และเสด็จหนีไปยังชายแดนได้


ราษฏรผู้จงรักภักดี

ครั้นเมื่อไปถึงก็มีบรรดาราษฏรผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ พากันมาเข้าเป็นพวกด้วยเป็นอันมาก และเมื่อถึงกาลที่เอื้ออำนวย พระโปลชนกก็ทรงตัดสินพระทัยยกกองทัพไปยังนครมิถิลา ครั้นเมื่อทัพของพระองค์ไปถึง บรรดาทหารรักษาเมืองจำนวนมากได้พากันแปรภักดิ์มาเข้ากับพระโปลชนก เนื่อง จากเห็นใจที่พระโปลชนกถูกจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรม


มารดาผู้รักษาขัติยทายาท

เมื่อพระอริฏฐชนกทรงทราบว่าพระอนุชายกทัพมาชิงราชสมบัติ และได้มีเหล่าไพร่พลจำนวน มากไปเข้าด้วย พระองค์ตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์แก่ ให้หลบหนีเอาตัวรอด ส่วนพระองค์เองทรงยกทัพออกทำสงครามกับพระอนุชาจนสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ ครองนครมิถิลาสืบต่อมา


ประสูติพระโอรสทายาทแห่งมิถิลา

ฝ่ายพระมเหสีของพระพระอริฏฐชนกได้เสด็จหนีไปยังเมือง กาลจัมปากะ โดยระหว่างทางพระอินทร์เสด็จลงมาช่วย โดยทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนพาพระนางเสด็จไปถึงยังเมืองนั้น และให้พระนางนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งภายในเมือง บังเอิญพราหมณ์ทิศาปราโมกข์เดินผ่านมา เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงรับพระนางไปอยู่ด้วย และอุปการะเลี้ยงดูดุจเป็นน้องสาว ไม่นานนักพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกก็ประสูติพระโอรส ทรงตั้งพระนามว่า มหาชนกกุมาร ตามพระนามของพระอัยกา (ปู่)

วันหนึ่ง มหาชนกกุมารได้ชกต่อยกับเพื่อนเนื่องจากถูกล้อเลียนว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ มหาชนกกุมารพยายามถามความจริง พระมารดาจึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทราบ พระองค์จึงตั้งพระทัยว่า เมื่อเติบใหญ่ก็จะเสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลากลับคืนมา


ล่องสำเภอเยือนปิตุภูมิ

ครั้นเมื่อพระมหาชนกกุมารเจริญวัยเติบใหญ่ พระองค์ก็ตรัสแก่พระมารดาว่าจะไปล่องเรือ สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ เพื่อทำการค้าสะสมทุนรอน และกำลังคนเพื่อชิงเอาราชสมบัตินครมิถิลากลับคืน พระมารดาจึงทรงนำเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา 3 สิ่ง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร เพื่อเป็นทุนล่องเรือไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ


วิกฤติพิสูจน์ความเข้มแข็ง

ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจนเรือจะล่ม บรรดาลูกเรือต่างหวาดกลัว และร้องคร่ำครวญหนีตายจนเกิดโกลาหล ฝ่ายมหาชนกกุมารนั้น เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจนอิ่มหนำ จากนั้นทรงนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา ครั้นเมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้าและกลาสีเรือทั้งปวงก็จมน้ำกลายเป็นอาหารของปลาและเต่า

ส่วนพระมหาชนกทรงแหวกว่าย อยู่ในทะเลถึง 7 วัน นางมณีเมขลา เทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนก ว่ายน้ำอยู่เช่นนั้น จึงสนทนาแลกเปลี่ยนกัน จนนางมณีเมขลาเข้าใจในปรัชญาของการบำเพ็ญวิริยบารมี นางมณีเมขลาจึงช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา


แผ่นดินย่อมไม่สิ้นกษัตริย์

ยามนั้นที่นครมิถิลา ฝ่ายพระเจ้าโปลชนกทรงประชวรหนัก พระองค์ไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาพระนามว่า สิวลี พระโปลชนกทรงรู้ว่าพระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์แล้ว จึงตรัสสั่งอำมาตย์ว่า ผู้ใดสามารถไขปริศนาขุมทรัพย์ได้ก็ยกบ้านเมืองให้แก่ผู้นั้น ในที่สุด หลังจากพระโปลชนกสิ้นพระชนม์ลง บรรดาเสนาข้าราชบริพารจึงตั้งพิธีเสี่ยงราชรถ ราชรถได้มาหยุดอยู่หน้าศาลาที่พระมหาชนกกุมารทรงประทับอยู่ พระองค์ทรงไขปริศนาได้ทั้งหมด ผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของพระมหาชนก ก่อนจะอัญเชิญพระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสิวลี และขึ้นครองราชย์สมบัติแคว้นวิเทหะ พระมหาชนกทรงครอง ราชย์ด้วยความผาสุกตลอดมา ด้วยทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรสทรงนามว่า ทีฆาวุกุมาร ครั้นเมื่อเจริญวัยขึ้น พระบิดาทรงโปรดให้ดำรงตำแหน่งมหาอุปราช


ต้นมะม่วงแห่งโพธิ

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชามหาชนกได้เสด็จอุทยานทอดพระเนตร เห็นมะม่วงต้นหนึ่งมีผล ต้นหนึ่งไม่มีผล โดยต้นที่มีผลนั้น ผลมีรสชาติอร่อย พระองค์ได้ทรงชิมและตรัสชม ทั้งทรงตั้งใจว่าจะกลับมาเสวยอีกครั้งในยามเย็น ทว่าเมื่อทรงออกจากพระราชอุทยานไปแล้ว มะม่วงต้นที่มีผลรสชาติดีก็เสียหายจนหมดเพราะผู้คนพากันมาโค่นเพื่อเอาผลมะม่วง ส่วนต้นที่ไม่มีผลยังอยู่รอดได้

เมื่อพระมหาชนกทรงทราบเรื่อง จึงทรงคิดได้ว่า ราชสมบัติ ก็เปรียบเหมือนต้นไม้มีผลที่อาจถูกทำลาย แม้จะไม่ถูกทำลายก็ต้องคอยระแวดระวังรักษาให้เกิดความกังวล พระองค์ประสงค์จะทำตนเป็นผู้ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผล แต่ก็ไม่ทรงทำเช่นนั้นเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ของพระราชาที่จะทำให้สังคมอยู่รอดพ้นก่อน ทั้งนี้เนื่องเพราะผู้คนในสังคมยังขาดสติปัญญาเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า ดุจดังผู้ที่ทำลายต้นมะม่วงเพียงเพราะต้องการผลมะม่วงโดยไม่คิดเก็บไว้กินในวันหน้า

เมื่อพระมหาชนกทรงคิดดังนั้นแล้ว จึงให้ผู้รู้วิชามาทำนุบำรุงต้นมะม่วง ด้วยหลักวิชาการทางการเกษตร และจัดตั้งสถานศึกษาชื่อ ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย เพื่อสร้างคนผู้เป็นคนดีมีสติปัญญาให้แก่ สังคม เพื่อสังคมจะได้เจริญรุ่งเรืองและดำรงอยู่อย่างผาสุกสืบไป

"กัณฑ์มหาชนกชาดก" เล่นเอาใจหายใจคว่ำ เนื่องจากไม่มีเจ้าภาพจอง สุดท้ายญาติโยมได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพให้เต็ม ขอฝากคำขอบคุณ อนุโมทนาบุญใหญ่แด่เจ้าภาพร่วม ประกอบด้วย คุณแม่จินดา แซ่จู, คุณแม่เพ็ญสุข - คุณนพรัตน์, คุณสุมาลี วิวัฒน์พัฒนกุล, คุศศิญา เชียงกราว, คุณอรทัย อังสโวทัย, คุณป้าพรเยาว์ ชอบชม, คุณป๋าสุรศักดิ์ - คุณแม่สุมาลี มีวงศ์ธรรม, คุณแม่มาลี ยามาท, คุณลินดา Cellg, คุณพ่อกมล, คุณแฉล้ม รอบคอบ, คุณแม่น้องนุ่น - น้องคาเทลล่า, สงสัยใส่ชื่อเพิ่มไม่ได้ หมดพื้นที่สัปดาห์นี้แล้ว น้ำใจท่านร่วมกันติดต้นกัณฑ์เทศน์ $2,675.00 ขออุนุโมทนาบุญทุกท่าน สาธุ ๆ รูปขอจำเริญพร