ข่าว
ผบ.ตร.สั่งการทางไกล ยันเลิกสัญญาบ.พีซีซี

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีการจัดสร้างโรงพัก 396 แห่ง หลังจากบริษัทพีซีซี ดิเวลลอปเม๊นต์ แอนด์คอนสตรัคชั่นเข้าพบพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า ประเด็นเรื่องการส่งมอบพื้นที่นั้น ตร.ให้ความสำคัญในการตรวจสอบ โดยพบว่า หลังจากทำสัญญาในเดือนมีนาคม 2553 หลังจากนั้นในห้วง 3 เดือน ก็ทยอยส่งมอบมาพื้นที่ไปมากกว่า 300 กว่าแห่งในจำนวน 396 แห่ง ยอมรับว่ามีบางส่วนที่เพิ่งส่งมอบพื้นที่ได้ในเดือนธันวาคม 2555 แต่ในจำนวนที่ส่งมอบไปนับ 300 แห่งบางแห่งไม่เริ่มก่อสร้างเลย เพราะฉะนั้นการที่เราส่งมอบพื้นที่บางแห่งช้า ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่มากล่าวอ้าง อย่างนี้แสดงให้เราเห็นว่าคู่สัญญาไม่มีความตั้งใจที่จะทำงาน ตามสัญญา 450 วัน เลื่อนมา 600 กว่าวันแล้วก็ยังสร้างไม่ถึงไหน การส่งมอบพื้นที่ไม่พร้อมกันไม่น่ากระทบการก่อสร้างทั้งหมดเพราะโรงพักแต่ละแห่งมีงวดงานไมเท่ากัน ขนาดใหญ่ 13 งวด ขนาดกลาง 11 งวด ขนาดเล็ก 9 งวด ต้องถามกลับว่าแล้วที่ส่งมอบแล้วทำไมไม่ทำ แสดงว่าเขาไม่มีความพร้อมจะทำให้เรา

พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า เมื่อเห็นงานของบริษัทดังกล่าวเป็นเช่นที่ผ่านมา มีความเสี่ยงมากหากจะขยายเวลา บริษัทรับเงินส่วนล่วงหน้าไปแล้ว 800 กว่าล้าน แต่ละงวดงานก็ใช้เงินทุนประมาณ 400 กว่าล้าน แบบทำงานพร้อมกกันทั่วประเทศ พอสร้างเสร็จ 1 งวด ก็จะได้เบิกเงินกลับคืนอีก แต่ทำไมที่ผ่านมาไปเอาเงินทีได้ไป800 ล้านไปทำงานให้เรา ทั้งที่ระบบเงินก็มีให้หมุนเวียนตลอดแล้ว แต่ก็ไม่สร้างให้เรา แล้วจากนี้เราจะเชื่อได้อย่างไร ว่าหากขยายเวลายืดสัญญาออกไปจะทำงานให้ตร.ได้ หากผิดพลาดมา ตร.ก็แย่ ไม่ต้องได้โรงพักกันพอดี

รองผบ.ตร.กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาจ่ายเงินค่างวดงานไปแล้วไม่เท่ากัน บางแห่ง 1 งวด 2 งวด บางแห่งก็ 4 งวดแล้ว ไม่เท่ากัน อยู่ที่ความคืบหน้าการก่อสร้าง รวมเป็นเงินประมาณ 1,500ล้าน รวมเงินล่วงหน้า ตอนนี้ตร.ไม่มั่นใจแล้วหากจะให้บริษัทนี้ทำต่อ ที่บอกว่าขอเวลาอีก 6 เดือนจะสร้างได้ 100 หลังคงฟังไม่ได้ รองผบ.ตร. กล่าวว่า ในประเด็นการกล่าวโทษข้อหาฉ้อโกง กับบริษัทพีซีซี นั้น พล.ต.องเจตน์ มงคงหัตถี ที่ปรึกษา(สบ10) ยังไม่สรุป อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 14 มีนาคม จะบอกเลิกสัญญา และเมื่อสิ้นสุดกระบวนการบอกเลิกสัญญาซึ่งใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ก็จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ทันที เพื่อความรอบคอบรัดกุม เป็นไปตามคำแนะนำของอัยการที่ตร.หารือมาโดยตลอด

ด้าน พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รองโฆษกตร. เปิดเผยว่า ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ในวันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. สั่งการผ่านระบบสื่อสารทางไกลจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ให้ตำรวจดำเนินการในส่วนการสร้างที่ทำการสภ.ชั่วคราวให้ ให้เรียบร้อย และยืนยันว่าหลังวันที่ 14 มีนาคม ตร.พิจารณาจะบอกเลิกสัญญา และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่

ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้ “หมูแฮม”รอลงอาญา

คดีดังเมื่อปี 50 ซิ่งรถไล่ทับคน เหตุหมอยืนยัน ป่วยสติฟั่นเฟือน ญาติเหยื่อสู้ต่อ เตรียมยื่นฎีกา!

ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษ นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ "หมูแฮม" บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี 2527 คดีขับเบนซ์ชนคนตายและได้รับบาดเจ็บ บริเวณปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา เมื่อปี "50 โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 10 ปี มาถึงชั้นอุทธรณ์พิจารณาลดโทษเหลือ 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ก่อน

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลจังหวัดพระโขนงเป็นโจทก์ นายมาโนจน์ หรือ ธนชรพล โตจวง, น.ส.สังวาล สีหะวงษ์, น.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ และนางทองดำ หลวงแสง เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-4 ร่วมกันฟ้องนายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ "หมูแฮม" อายุ 25 ปี บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี 2527 เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้รับอันตรายแก่กาย

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 50 เวลา 22.50 น. จำเลยใช้ก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 513 ทะเบียน 12-0939 กรุงเทพ มหานคร และขับรถเบนซ์ ทะเบียน ศศ 6699 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบน ทางเท้า และนางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ให้หยุดบริเวณหน้าป้อมตำรวจจราจรที่ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 52 ว่า การกระทำของจำเลย ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่อ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุและตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ซึ่งการกระทำของจำเลยเกิดจากนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าว จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจำคุก 1 เดือน และริบรถยนต์ของกลาง และให้ชำระค่าเสียหายแก่นางสมจิตร แกล้วกล้า กระเป๋ารถเมล์ ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 1 แสนบาท น.ส.สังวาล โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 8 แสนบาท น.ส.สุชีรา โจทก์ร่วมที่ 3 จำนวน 79,412 บาท และนางทองดำ หลวงแสง โจทก์ร่วมที่ 4 มารดาของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิต จำนวน 2,158,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันทำละเมิด วันที่ 4 ก.ค.50 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนผู้เสียหายอื่นรวม 7 ราย จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นเป็นที่พอใจแล้ว

ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางนำสืบ เชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกระทำผิดขับรถขึ้นไปบนทางเท้าชนผู้ตายและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่จำเลยยังไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โดยก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยยังสามารถรู้สึกผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจรักษาได้ประชุมร่วมกับจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก และลงความเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปวน มีลักษณะหุนหันพลันแล่น ที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจากมีสติฟั่นเฟือน โดยจำเลยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จนเกิดเหตุร้ายดังกล่าว จึงมีความผิดฐานขับรถชนคนตายและบาดเจ็บที่กระทำไปโดยไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรค 2 ที่ศาลชั้นต้นลงโทษว่า จำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี

พิพากษาแก้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 ประกอบมาตรา 65 วรรค 2 เห็นควรให้จำคุกจำเลย 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นอีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี เพื่อให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติได้แนะนำและคอยตักเตือนจำเลยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และให้จำเลยไปรักษาความบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด โดยให้รายงานผลการรักษาต่อพนักงานคุมประพฤติทุกครั้งตลอดระยะเวลาของการรอลงอาญา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ด้านน.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ อายุ 31 ปี ลูกสาวของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวกล่าวว่า การสูญเสียแม่ไม่มีอะไรมาชดเชยได้ น่าจะมีบรรทัดฐานว่าคนที่กระทำผิดควรได้รับโทษในสิ่งที่เขากระทำไม่ว่าเขาจะอายุน้อย เป็นผู้เยาว์ หรือบกพร่องทางจิต โทษจำคุกหรืออะไรก็ตามระยะเวลาไม่มีความสำคัญ ส่วนการชดเชยด้วยเงินเป็นการเยียวยาภายนอก ไม่สามารถชดเชยบาดแผลภายในจิตใจได้ ขณะนี้รอคัดคำพิพากษาเพื่อร่วมพิจารณากับทนายว่าจะฎีกาหรือไม่ อยากให้สังคมได้รับทราบคำตัดสินเพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายกัณฑ์พิทักษ์ก่อคดีขับรถชนคนเมื่อปี "50 และเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของศาล ต่อมาวันที่ 20 มี.ค. 51 นายกัณฑ์พิทักษ์ก็ก่อเหตุขับรถชนอีกจนได้ โดยขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด หมายเลขทะเบียน 9ธ -7617 กรุงเทพมหานคร เฉี่ยวชนกับรถประจำทางสาย 545 หมายเลขทะเบียน 12-6002 ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารสำโรง-นนทบุรี เหตุเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าตลาดโชคชัย 4 ซอยลาดพร้าว 55/2

ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุนายกัณฑ์พิทักษ์ได้แสดงตัวว่ารู้จักกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ขณะตำรวจจราจรได้เข้ามาเคลียร์พื้นที่ และหลังจากนั้นนายกัณฑ์เอนกได้เดินทางมาที่เกิดเหตุและเข้ามาเจรจากับผู้ขับขี่รถประจำทาง ตกลงค่าเสียหายในการซ่อมแซมรถจำนวน 2,000 บาท อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ตร.เร่งตรวจสอบหลักฐานจากคลิปวีดีโอ คดีหญิงโดดลงบ่อจระเข้ที่สมุทรปราการ

จากกรณีเมื่อช่วงสายของวันที่ 7 มี.ค. นายจรูญ ยังประภากร กรรมการบริหาร บริษัทฟาร์มจระเข้ และสวนสัตว์จังหวัดสมุทรปราการ และ นายเสน่ห์ จิตศรัทธา อายุ 55 ปี ได้พานางสาวจิรนันท์ จันทร์แรม อายุ 36 ปี เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อเป็นพยานพร้อมหลักฐานคลิปวีดีโอ ที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเอาไว้ในขณะเกิดเหตุ เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อเป็นพยานเพิ่มเติม ในกรณีที่ นายเสน่ห์ จิตศรัทธา อายุ 55 ปี ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่กองปราบปรามว่า นางทิพวรรณ จิตศรัทธา อายุ 36 ปี ภรรยา ได้หายตัวไปขณะเดินทางมาเที่ยวที่ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ โดยเชื่อว่าภรรยาได้กระโดดลงไปในบ่อจระเข้ เนื่องจากมีคนที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์พูดคุยกันจนเพื่อนบ้านได้เข้ามาบอกกับตน ว่ามีคนตกลงไปในบ่อจระเข้ และถูกจระเข้กิน แต่เมื่อไปสอบถามพนักงานในสวนสัตว์ดังกล่าว ทุกคนกลับปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไป

หลังข่าวได้ถูกนำเสนอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในวันนี้ (8 มี.ค.) ที่ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ นายอุเทน ยังประภากร เจ้าของและกรรมการผู้จัดการบริษัทฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ได้พาสื่อมวลชนเข้าพิสูจน์พฤติกรรมของจระเข้ในการกินอาหารตามคำกล่าวอ้างของพยานที่ออกมาเปิดเผยว่า คลิปที่เอามาเป็นหลักฐานเป็นภาพที่ถ่ายได้ในขณะที่คนกระโดดลงไปในบ่อจระเข้ภายในฟาร์มจระเข้ดังกล่าว โดยได้นำเอาโครงไก่สดโยนลงไปในบ่อ จระเข้ก็กรูเข้ามาแย่งกันกินเช่นกัน

ก่อนที่นายอุเทน จะออกมาเปิดเผยว่า สำหรับในเรื่องนี้ตนก็สงสัยเหมือนกันว่า เรื่องนี้มันผ่านมาตั้ง 6-7 เดือนแล้ว และก็ไม่ได้เป็นข่าวเล็กๆ ทุกคนก็รู้ แต่ทำไมตอนนั้นคลิปไม่ออกและทำไมไม่มี และผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้ดูคำสัมภาษณ์ของคนที่อ้างว่าเป็นผู้เห็นและถ่ายคลิปเอาไว้ได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกที่คนตกลงไปทั้งคนไม่มีอาการตกใจบ้างเลยหรือไง ยังเดินเที่ยวต่อทั้งฟาร์มจนกลับบ้าน โดยที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร และถ้าถามว่าพฤติกรรมของจระเข้ที่ดูในคลิปจระเข้มันก็ต้องกินอาหารอย่างนั้น เพราะจระเข้ไม่มีลิ้นและไม่มีฟันบดเคี้ยว จระเข้จะใช้วิธีการกลืนเวลาจระเข้กลืนก็จะต้องเงยหัวขึ้นมาแบบนั้น แล้วเวลาการแย่งอาหาร จระเข้ก็จะมีการแย่งกัน พอเค้าได้อาหารเค้าก็ต้องโฉบหลบเพื่อไม่ให้ตัวอื่นมาแย่ง ซึ่งเดี๋ยวผมก็จะสาธิตให้ดูว่ามันเหมือนกันไหมในพฤติกรรม ส่วนคลิปที่เค้าเอามาเป็นหลักฐานผมเองก็ดูไม่ออกเช่นกัน ดูออกเพียงว่าเป็นสถานที่ในฟาร์ม ก็จระเข้มันกินมันก็ต้องเงยหัวแบบนั้น แต่อย่างอื่นไม่เห็นมีอะไร

ด้าน ร.ต.อ.ปัญญวัฒน์ คำศรี พนักงานสอบสวนในคดีนี้กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับชมคลิปที่ทางพยานอ้างว่าเป็นคลิปที่ฝูงจระเข้กำลังรุมกินเหยื่อที่กระโดดลงไปในบ่อแล้ว แต่ภาพในคลิปมีขาดเล็กมากและถ่ายในมุมที่ไกลพอสมควร จึงไม่สามารถยืนยันได้ในเบื้องต้นว่าฝูงจระเข้กำลังรุมกินเหยื่อที่เป็นมนุษย์หรือไม่ ต้องส่งคลิปวีดีโอดังกล่าวให้ ผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงจะระบุได้ว่าฝูงจระเข้ในวีดีโอคลิบกำลังรุมทึ้งกินอะไรอยู่กันแน่ ซึ่งกระบวนการตรวจสอบนี้อาจต้องใช้เวลาพอสมควร